แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 นั้น กฎหมายมุ่งประสงค์ให้ถือเอาการใช้ประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์เป็นสำคัญ โดยไม่ได้คำนึงว่าภารยทรัพย์นั้นจะเป็นของผู้ใดหรือเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องรู้ตัวว่าใครเป็นเจ้าของภารยทรัพย์นั้น ดังนั้น แม้โจทก์จะใช้ประโยชน์ในทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของจำเลยรวมไปกับทางสาธารณะกว้าง 2 เมตร โดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะทั้งหมด ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทในลักษณะจะให้ได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๕๗๔ และ ๑๐๕๗๕ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ตลอดแนวทางด้านทิศตะวันตกมีความกว้าง ๒ เมตร เป็นทางภาระจำยอม กับให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลก หากไม่ไปก็ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตเปิดเป็นทางภาระจำยอม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้โจทก์รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางภาระจำยอมต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งห้าไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ ฟ้องโจทก์ทั้งห้าเคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายรายละเอียดว่าสภาพที่ดินของจำเลยเป็นอย่างไรและโจทก์ทั้งห้าได้ภาระจำยอมมาอย่างไร ที่ดินของจำเลยไม่เป็นทางภาระจำยอมเพราะโจทก์ทั้งห้ามีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้อยู่แล้ว โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ก็ไม่เคยเข้ามาใช้ทางที่อ้าง ทั้งโจทก์ทั้งห้าใช้มาไม่ถึงสิบปีและเป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ ๑๐๕๗๔ และ ๑๐๕๗๕ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ตลอดแนวทางด้านทิศตะวันตก กว้าง ๒ เมตร ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ที่ ๑ และให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมแก่โจทก์ที่ ๑ ด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์ที่ ๑ เอง หากจำเลยไม่ไปก็ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตออกจากทางภาระจำยอม และห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางภาระจำยอมของที่ดินของโจทก์ที่ ๑ อีกต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่คู่ความนำสืบรับกันและมิได้โต้แย้งกันฟังได้ว่า ทางพิพาทกว้าง ๒ เมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๕๗๔ และ ๑๐๕๗๕ เลขที่ดิน ๑๐๑ และ ๑๐๒ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ยาวตลอดแนวติดกับทางสาธารณะ เป็นที่ดินในโฉนดดังกล่าวของจำเลย โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๐ และ ๑๐๕๘๗ ถึง ๑๐๕๘๙ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ดินของจำเลยเลขที่ ๑๐๒ ด้านทิศตะวันตก และติดกับถนนสาธารณะกว้าง ๒ เมตร เมื่อรวมกับทางพิพาทแล้วมีความกว้าง ๔ เมตร ซึ่งโจทก์ที่ ๑ และชาวบ้านใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนจ่านกร้องซึ่งเป็นถนนสาธารณะมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ตามรูปแผนที่จำลองเอกสารหมาย จ. ๙ ต่อมาเมื่อประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๙ จำเลยนำเสาคอนกรีตมาปักเป็นแนวเขตที่ดินของจำเลยตลอดแนวทางด้านทิศตะวันตกกว้าง ๒ เมตร ทำให้โจทก์ที่ ๑ และชาวบ้านที่มีที่ดินอยู่ด้านในไม่สามารถใช้ทางดังกล่าวโดยนำรถยนต์ผ่านเข้าออกได้โดยสะดวกเช่นเดิม สำหรับประเด็นที่จำเลยฎีกาในประการแรกว่า สำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ. ๕ ถึง จ. ๘ และสำเนาแผนที่จำลองเอกสารหมาย จ. ๙ ที่โจทก์ที่ ๑ อ้างเป็นพยานนั้นเป็นสำเนามิใช่ต้นฉบับจึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์ที่ ๑ อ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานมาในขณะที่โจทก์ที่ ๑ นำพยานเข้าสืบและมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ เพิ่งจะหยิบยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๖ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาในประเด็นต่อมาว่า โจทก์ที่ ๑ ใช้ทางพิพาทยังไม่ถึง ๑๐ ปี จึงไม่ได้ภาระจำยอมนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยฟังว่า โจทก์ที่ ๑ ใช้ทางพิพาทมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ซึ่งจำเลยมิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าวไว้ ทั้งยังได้แก้อุทธรณ์โดยรับว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยเหตุผลและความยุติธรรมแล้ว ขอถือเอาเป็นคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยด้วย ถือว่าประเด็นดังกล่าวเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน ทั้งต้องฟังว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ใช้ทางพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว
คดีคงมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่โจทก์ที่ ๑ ใช้ทางพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของจำเลยติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โดยเข้าใจว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะนั้น จะมีผลทำให้โจทก์ที่ ๑ ได้ภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยโดยอายุความหรือไม่ เห็นว่า การได้ภาระจำยอมโดยอายุความนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิดังกล่าวไว้ในลักษณะ ๓ แห่งบรรพ ๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม กล่าวคือ จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินภารยทรัพย์นั้นโดยความสงบและโดยเปิดเผย และด้วยเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบด้วยมาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้กฎหมายมุ่งประสงค์ให้ถือเอาการใช้ประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์เป็นสำคัญ โดยไม่ได้คำนึงว่าภารยทรัพย์นั้นจะเป็นของผู้ใดหรือเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องรู้ตัวว่าใครเป็นเจ้าของภารยทรัพย์นั้น ดังนั้น แม้โจทก์ที่ ๑ จะใช้ประโยชน์ในทางพิพาทกว้าง ๒ เมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของจำเลยรวมไปกับทางสาธารณะกว้าง ๒ เมตร โดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะทั้งหมด ก็ต้องถือว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ใช้ทางพิพาทในลักษณะจะให้ได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวแล้ว เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ใช้ทางพิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยแล้วเช่นนี้ โจทก์ที่ ๑ จึงได้ภาระจำยอมในทางพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.