แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีนาง ท.ซึ่งเป็นน้องภริยาจำเลยกับนางต. ป้าจำเลยเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนว่า เห็นจำเลยถือมีดยืนท้าทายผู้ตาย แล้วถูกผู้ตายยิง แต่จำเลยหลบทัน กระสุนเลยพลาดไปถูก นาง ส. แม้พยานทั้งสองจะมิได้เบิกความถึงเหตุการณ์ต่อมาตอนที่ผู้ตายถูกยิง แต่พยานทั้งสองเคยให้การในชั้นสอบสวนว่าเห็นจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย แม้จะให้การหลังเกิดเหตุถึง 1 เดือนเศษก็ไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองมุ่งปรักปรำจำเลย แต่กลับมุ่งช่วยจำเลยว่าเป็นการยิงป้องกันตัว เพราะเป็นญาติกับจำเลย คำให้การชั้นสอบสวนแม้เป็นพยานบอกเล่าก็อาจนำไปฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นได้ ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือนคดีโจทก์เฉพาะความผิดฐานนี้จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาฐานนี้ไว้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 91พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางชิด สุรามาตร์ ภริยาของนายบุญธรรมสุรามาตร์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษ ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 16 ปี ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคแรก จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 16 ปี 1 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหามีว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางทุเรียน ใบเนียมน้องภริยาจำเลย กับนางต่วน สายรัด ป้าจำเลยเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4ว่า ขณะที่พยานทั้งสองกับนางทองหล่อ จันทร์สีเผือก ภริยาจำเลยนั่งคุยกันอยู่ที่หน้าบ้าน ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่จำเลยด่านายเอนกตลอดจนจำเลยได้ถือมีดขอยืนท้าทายผู้ตาย แล้วถูกผู้ตายยิงแต่จำเลยหลบทัน กระสุนปืนเลยพลาดไปถูกนางสมควร แม้พยานทั้งสองจะมิได้เบิกความถึงเหตุการณ์ต่อมาตอนที่ผู้ตายถูกยิง แต่พยานทั้งสองเคยให้การในชั้นสอบสวนเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2531ตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ว่า หลังจากผู้ตายยิงถูกนางสมควรแล้วขณะวิ่งกลับบ้านก็ถูกนายเอนกเข้าแย่งปืน นางทองหล่อเรียกจำเลยให้ช่วยลูก จำเลยถืออาวุธปืนยาวลูกซองเข้าไปหาผู้ตาย ผู้ตายได้หันอาวุธปืนมาทางจำเลย จำเลยจึงยิงผู้ตายล้มลง แสดงว่าพยานทั้งสองได้เห็นจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย แม้จะให้การหลังเกิดเหตุถึง 1 เดือนเศษ ก็ไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองมุ่งปรักปรำจำเลยแต่กลับมุ่งช่วยจำเลยว่าเป็นการยิงป้องกันตัวเพราะเป็นญาติกับจำเลย คำให้การในชั้นสอบสวนนี้แม้เป็นพยานบอกเล่าก็อาจนำไปฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นได้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางสาวสุชินนางวิลาวัลย์ กับนายประทิน สุรามาตร์ บุตรผู้ตายเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า หลังจากนายเอนกแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายได้แล้วนางสาวสุชินกับนางวิลาวัลย์ก็ช่วยกันแย่งอาวุธปืนกระบอกนั้นคืนมาจากนายเอนกอีกต่อหนึ่ง ขณะที่นางสาวสุชินถืออาวุธปืนสั้นลูกซองกระบอกนั้นอยู่ก็มีเสียงปืนดัง 1 นัด เห็นผู้ตายถูกยิงล้มในบริเวณบ้านและเห็นจำเลยถืออาวุธปืนลูกซองอยู่ แม้นางสาวสุชินกับนางวิลาวัลย์จะเบิกความด้วยว่าเห็นจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายซึ่งขัดกับที่เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าได้ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าไม่เห็นใครยิงจะทำให้คำเบิกความที่ว่าเห็นจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายจะฟังไม่ได้ก็ตาม แต่ในส่วนที่ว่าตอนผู้ตายถูกยิงเห็นจำเลยถืออาวุธปืนยาวลูกซองอยู่ก็รับฟังได้เหตุการณ์แย่งอาวุธปืนกันมีอยู่ 2 ตอน ตอนแรกนายเอนกแย่งอาวุธปืนไปจากผู้ตายตอนหลังนางสาวสุชินกับนางวิลาวัลย์ช่วยกันแย่งอาวุธปืนดังกล่าวคือ ขณะที่นางสาวสุชินถืออาวุธปืนที่แย่งมาได้แล้วผู้ตายจึงถูกยิงล้มในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะร้อยตำรวจตรีชัชวาลย์บุญธรรมเจริญ พนักงานสอบสวนผู้ได้ร่วมชันสูตรพลิกศพผู้ตายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จากการชันสูตรพลิกศพผู้ตายถูกยิงในระยะห่าง มิใช่ระยะประชิดตัว ที่ผู้ตายถูกยิงจึงมิใช่เกิดจากปืนลั่นในขณะแย่งปืนกันดังที่จำเลยฎีกา ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับว่าได้ใช้อาวุธปืนยาวลูกซองยิงสวนไปในขณะที่ผู้ตายหันอาวุธปืนมาทางจำเลยเพื่อป้องกันตัว มิใช่ยิงขึ้นฟ้าดังที่จำเลยนำสืบ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจากการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานปรากฏว่าปลอกกระสุนปืนลูกซองจำนวน 1 ปลอก ของกลางที่ยึดได้จากที่เกิดเหตุ กับปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงเปรียบเทียบจากอาวุธปืนสั้นลูกซองของกลาง มีตำหนิรอยเข็มแทงชนวนคล้ายคลึงกันแต่รอยตำหนิมีน้อยและไม่ชัดเจนพอ จึงไม่อาจตรวจยืนยันให้แน่นอนได้แต่ปลอกกระสุนปืนของกลางดังกล่าวไม่ได้ยิงมาจากอาวุธปืนยาวลูกซองจึงน่าเชื่อว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนของผู้ตายเองในขณะแย่งอาวุธปืนกันนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนสั้นลูกซองยิงจำเลยแล้วพลาดไปถูกนางสมควร ต่อมาอีกช่วงหนึ่งผู้ตายจึงถูกยิงปลอกกระสุนปืนของกลางจึงอาจเกิดจากการยิงของผู้ตายดังกล่าวส่วนปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงผู้ตายพนักงานสอบสวนไม่ได้มาเป็นของกลาง ข้ออ้างของจำเลยนี้จึงฟังไม่ขึ้น ข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าผู้ตายมิได้ถูกจำเลยยิงไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานโจทก์ คดีฟังได้ว่าผู้ตายถูกจำเลยยิงจนถึงแก่ความตาย ส่วนที่จำเลยนี้จึงฟังไม่ขึ้น ข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าผู้ตายมิได้ถูกจำเลยยิงไม่มีน้ำหนักผู้ตายถูกจำเลยยิงขณะอยู่ในบริเวณบ้านโดยไม่มีอาวุธปืนอยู่ในมือเพราะอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวนางสาวสุชินเป็นคนถืออยู่ ไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจำเลยจะต้องป้องกันตัว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกัน เหตุที่เกิดในครั้งนี้ แม้ผู้ตายจะเป็นฝ่ายเริ่มด่าและท้าทายจำเลยก่อน แต่จำเลยก็ได้ด่าท้าทายตอบและถือมีดขออยู่ในมือพร้อมที่จะต่อสู้ทำร้ายผู้ตายด้วย การที่จำเลยกลับขึ้นไปบนบ้านเอาอาวุธปืนยาวลูกซองมายิงผู้ตายจึงเกิดจากการทะเลาะวิวาทต่อสู้กัน มิใช่เพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นบันดาลโทสะดังที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน คดีโจทก์เฉพาะความผิดฐานนี้จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตได้และแม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยในความผิดฐานนี้ไว้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้แต่คดีนี้จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเอง และให้การรับในชั้นสอบสวนว่าได้ยิงผู้ตายจริง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ลดโทษให้จำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา สมควรแก้ไขโดยลดโทษให้จำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นลดโทษให้ 1 ใน 4ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 12 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.