คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะร้องขอให้เพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติ ล้มละลายฯ มาตรา 115 ได้นั้น การโอนนั้นจะต้องเป็นการโอนให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนแล้ว และการโอนเช่นนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยเสียเปรียบ แต่การโอนตามสัญญาซื้อขายผู้ซื้อมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยมาก่อน จึงไม่มีกรณีที่ผู้ซื้อจะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ย่อมนำมาตรา 115 มาเพิกถอนการโอนตามสัญญาซื้อขายไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ทางสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4899แขวงวังบูรพาภิรมย์ (พาหุรัด) เขตพระนคร (ในพระนคร)กรุงเทพมหานคร พร้อมตึกแถวเลขที่ 24/1 บนที่ดินดังกล่าว เมื่อวันที่12 กรกฎาคม 2528 ซึ่งอยู่ในระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลาย จำเลยได้โอนขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวให้ผู้คัดค้านทั้งสามในราคา 300,000 บาท ในขณะที่โอนจำเลยมีเจ้าหนี้รายอื่นอีกหลายรายเป็นการโอนขายโดยผู้คัดค้านทั้งสามไม่สุจริต ทั้งเป็นการทำให้ผู้คัดค้านทั้งสามได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น อาศัยอำนาจตามมาตรา 114, 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวดังกล่าวระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านทั้งสาม และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านทั้งสามซื้อที่ดินและตึกแถวดังกล่าวมาจากจำเลยโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ผู้คัดค้านทั้งสามไม่ได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยจึงไม่ทำให้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ขอให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านทั้งสามอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่จำเลยจะต้องโอนทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายให้ และจำเลยกระทำการโอนโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านทั้งสามได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นตามความหมายของพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านทั้งสามและให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม ผู้คัดค้านทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผู้คัดค้านทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12กรกฎาคม 2528 จำเลยได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 4899ตำบลวังบูรพาภิรมย์ (พาหุรัด) อำเภอพระนคร (ในพระนคร)กรุงเทพมหานคร และตึกแถวเลขที่ 24/1 บนที่ดินดังกล่าวให้ผู้คัดค้านทั้งสามในราคา 300,000 บาท โดยได้ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินในวันเดียวกันปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ร.1 และภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.2 ต่อมาวันที่ 8 ตุลาคม 2528 โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2529 และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2530 คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านทั้งสามหรือไม่ปัญหาประการแรกคือ พฤติการณ์ที่จำเลยโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้ผู้คัดค้านทั้งสามนั้น จะเพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ได้หรือไม่เห็นว่า บทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอเพิกถอนการโอนได้ในกรณีที่จำเลยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น มีความหมายว่าการโอนทรัพย์นั้นต้องเป็นการโอนให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนแล้ว และการโอนเช่นนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยเสียเปรียบ เนื่องจากบรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้นต่างก็จะไม่ได้รับชำระหนี้หรือไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนจากจำเลยเพราะสภาพการมีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งบรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้นได้รับความเสียหายอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยนำทรัพย์สินเท่าที่มีไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะจึงเป็นการให้เปรียบแก่เจ้าหนี้คนนั้นและจะทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ เพราะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีโอกาสได้รับชำระหนี้โดยเฉลี่ยจากทรัพย์ที่โอนไป กฎหมายจึงมุ่งคุ้มครองบรรดาเจ้าหนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนมิให้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการโอนหรือการกระทำใด ๆ ซึ่งเป็นการให้เปรียบเช่นนี้ได้ แต่กรณีการโอนตามสัญญาต่างตอบแทนในคดีนี้ ผู้คัดค้านทั้งสามมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยมาก่อน จึงไม่มีกรณีที่ผู้คัดค้านทั้งสามจะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงนำพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115มาเพิกถอนการโอนแก่ผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยมาก่อนแล้วไม่ได้ ปัญหาต่อไปมีว่าผู้คัดค้านทั้งสามได้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน อันเข้าข้อยกเว้นไม่เพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 หรือไม่ผู้คัดค้านทั้งสามนำสืบว่ามารดาของผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งเป็นผู้ติดต่อและออกเงินซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทและผู้คัดค้านทั้งสามไม่เคยรู้จักจำเลย มารดาผู้คัดค้านทั้งสามทราบจากญาติว่าจำเลยจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงได้ตกลงซื้อขายในราคา 350,000 บาท แต่จดทะเบียนซื้อขายเพียง300,000 บาท เพื่อเสียค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์น้อยลง ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดิน เอกสารหมาย ค.1 ภาพถ่ายใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ค.3 และภาพถ่ายใบสั่งเงินค่าธรรมเนียมที่ดินเอกสารหมาย ค.4 ที่ดินพิพาทมีราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดิน339,800 บาท ก่อนซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทผู้คัดค้านทั้งสามและมารดาไม่ทราบว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้อื่น ถ้าทราบจะไม่ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาท ส่วนผู้ร้องนำสืบว่า โจทก์ได้ยื่นคำแถลงต่อผู้ร้องว่า จำเลยได้โอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสามเมื่อวันที่ 12กรกฎาคม 2528 ขอให้ผู้ร้องดำเนินการสอบสวนการโอนรายนี้ ผู้ร้องจึงได้หมายนัดผู้คัดค้านทั้งสามมาทำการสอบสวน แต่ผู้คัดค้านทั้งสามไม่มาตามหมายนัด ผู้ร้องจึงมีคำสั่งให้ดำเนินการเพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยถือว่าผู้คัดค้านทั้งสามไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่าได้รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ภายในช่วงระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 เห็นว่าผู้คัดค้านทั้งสามและพยานผู้คัดค้านทั้งสามเบิกความสอดคล้องต้องกันทั้งมีพยานเอกสารมาสืบสนับสนุนข้ออ้างพยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งสามจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ส่วนผู้ร้องมิได้นำสืบให้เห็นว่าผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งรับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทในราคาดังกล่าวต่ำกว่าราคาในท้องตลาดอันพอถือได้ว่าผู้คัดค้านทั้งสามได้รับโอนมาโดยไม่สุจริต ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าผู้คัดค้านทั้งสามรับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ไม่อาจเพิกถอนการโอนรายนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนการโอนรายนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share