คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งแย้งเข้าบ้านตามที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้
แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๘ จำเลยได้กู้เงินจากโจทก์จำนวน ๗๙,๐๐๐ บาท กำหนดชำระคืนวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๗๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน๒๕๒๘ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๕๒๕.๘๙ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น๘๐,๕๒๕.๘๙ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน๗๙,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกดอกเบี้ยและสัญญากู้ท้ายฟ้องมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมายจะนำมาฟ้องร้องไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน ๗๙,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๒พฤษภาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน ๗๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้แจ้งย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ ๑๐๙ หมู่ ๑ ตำบลและอำเภอพุทพชไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ไปอยู่บ้านเลขที่ ๓/๑๒๙๓ ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๘ โจทก์ฟ้องวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๘หลังจากจำเลยย้ายภูมิลำเนา ๑ เดือน จึงถือได้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์นั้น ได้ความว่า ทนายโจทก์ไปยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนท้องถิ่นเขตบางเขนขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวปรากฏว่าเจ้าหน้าที่หาเลขที่บ้าน ๓/๑๒๙๓ ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร ที่จำเลยแจ้งประสงค์จะย้ายเข้าไปไม่พบ ทนายโจทก์จึงขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ ๓/๑๑๙๓/ หมู่ ๖ ตำบลคลองสานอำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ทราบจากนายสมชาย มันตาเสรีบุตรจำเลย ปรากฏว่าเป็นบ้านของนางสาววรรษมน มันตาเสรี บุตรสาวของจำเลย แต่ไม่มีชื่อจำเลยย้ายเข้า ซึ่งนายทะเบียนท้องถิ่นรับรองสำเนาเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ เห็นว่า จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งย้ายเข้าบ้านที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใดทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียวมิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๐๙ หมู่ ๑ ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลดังกล่าวได้
จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเมื่อจำเลยผิดนัดในอัตราสูงสุดของธนาคารเป็นโมฆะเพราะอัตราดอกเบี้ยของธนาคารสูงกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีที่เอกชนผู้ให้กู้จะเรียกร้องเอาได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเลยนั้น เห็นว่า แม้ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ มีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๔ ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share