แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันยอมยกทรัพย์สินให้แก่บุคคลภายนอกคดี ข้อตกลงดังกล่าวหาได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใดไม่
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อตามสัญญาประนีประนอมยอมความปรากฏข้อความชัดว่า จำเลยยอมแบ่งที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 40888 ให้กับ ส. ธ. พ. และโจทก์โดยระบุเนื้อที่ดินที่จะแบ่งให้แต่ละคนไว้ ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย และจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 42487 ให้กับ ส. ทั้งหมด หากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ให้บังคับคดีได้ทันที จำเลยยินยอมจะยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะแบ่งให้กับโจทก์และบุคคลดังกล่าว เมื่อได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายความโจทก์เท่านั้น คดีได้ความว่าส. ธ. และ พ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่ ดังนี้โจทก์มีส่วนได้เสียตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตรงได้ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้ พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว หาได้บังคับ เอาแก่บุคคลภายนอกแต่อย่างใดไม่ การบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอยู่ในวิสัยที่จำเลยปฏิบัติได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจาก โจทก์ฟ้องเรียกให้เพิกถอนการโอนที่ดิน ๓ แปลงของจำเลย คือ ๑) ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๔๕๒ ๒) ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๔๘๗ ๓) ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๐๘๘๘ ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ความว่าจำเลยยอมแบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๐๘๘๘ให้โจทก์ ๑ ไร่ ๒ งาน ๘๑ เศษ ๖ ส่วน ๑๐ ตารางวา ให้กับนางสุวณีย์ มุสิกรักษ์๑ ไร่ ให้กับนางสาวสุวภา ธรรมแก้ว ๑ ไร่ให้กับนายเพื่อน บุญมณี ๑ ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๔๘๗ ให้กับนางสาวสุวภา ธรรมแก้ว ทั้งหมด ที่ดินส่วนอื่นโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้อง ที่ดินที่จำเลยยอมแบ่งให้กับโจทก์เป็นที่ดินที่จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายให้บุคคลที่สามไปแล้ว ยอมให้โจทก์ยอมรับเงินค่าที่ดินทั้งหมดจากบุคคลที่สาม ศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสงขลาโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้านว่า จำเลยไม่เข้าใจความหมายตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งเป็นสัญญาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลชั้นต้นสั่งยกคำแถลงของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องว่าสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ย่อมไม่ผูกพันจำเลย ขอให้สั่งระงับการโอนที่ดิน หากโอนไปแล้ว ขอให้เพิกถอนการโอน
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า สัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วนั้น ย่อมผูกพันจำเลยต้องปฏิบัติตามเพราะเป็นคำพิพากษาตามยอมไม่ใช่สัญญาธรรมดา โจทก์มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ เพราะคำพิพากษาผูกพันจำเลย หาใช่ผูกพันบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตามไม่
ศาลชั้นต้นให้นัดพร้อม ในวันนัดโจทก์ จำเลย และบุคคลภายนอกผู้ได้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาศาล นางสุวณีย์ มุสิกรักษ์ นางสาวสุวภา ธรรมแก้ว และนายเพื่อน บุญมณี ต่างแถลงว่าประสงค์จะรับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจะรับโอนที่ดิน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยไม่ยอมโอนที่ดินเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงให้จำเลยปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับการโอนที่ดิน โฉนดเลขที่ ๔๐๘๘๘ และ ๔๒๔๗๘๗ ให้แก่นางสุวณีย์ มุสิกรักษ์ นายเพื่อน บุญมณี และนางสาวสุวภา ธรรมแก้ว ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้โอนทรัพย์สินแก่บุคคลภายนอก และศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดไปแล้ว จะบังคับให้คู่กรณีปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้หรือไม่ การที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ยอมยกทรัพย์สินให้แก่บุคคลภายนอกคดี ข้อตกลงดังกล่าวหาได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใดไม่ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความปรากฏข้อความชัดว่า จำเลยยอมแบ่งที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๐๘๘๘ ให้กับนางสุวณีย์ มุสิกรักษ์ นางสาวสุวภา ธรรมแก้ว นายเพื่อน บุญมณี และโจทก์ ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย และจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๒๔๘๗ ให้กับนางสาวสุวภา ธรรมแก้ว ทั้งหมด หากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ให้บังคับคดีได้ทันที และตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๕ มีความว่า “จำเลยยินยอมจะยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา เพื่อแบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะแบ่งให้กับโจทก์และทายาทอื่น ๆเมื่อได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายความโจทก์เท่านั้น” คดีได้ความว่านางสุวณีย์ มุสิกรักษ์ นางสาวสุวภา ธรรมแก้ว และนายเพื่อน บุญมณี ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความ หาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่ เห็นว่า โจทก์มีส่วนได้เสียตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตรง ได้ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลซึ่งได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว หาได้บังคับเอาแก่บุคคลภายนอกแต่อย่างใดไม่ การบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอยู่ในวิสัยที่จำเลยปฏิบัติได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่นางสุวณีย์ มุสิกรักษ์ นางสาวสุวภา ธรรมแก้ว นายเพื่อน บุญมณี ตามเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๕ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อพิเคราะห์ถึงการดำเนินคดีของจำเลยประกอบกับโจทก์เป็นบุพการีของจำเลยเอง เห็นสมควรให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกา โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาทแทนโจทก์