แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยพึ่งสถาบันของรัฐโดยสุจริตเช่น การแจ้งความร้องทุกข์ การฟ้องคดีต่อศาล จะต้องกระทำโดยสุจริต มิใช่อาศัยสถาบันของรัฐเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายหนึ่ง การที่จำเลยต่อสู้หรือฟ้องคดีต่อศาลหรือแจ้งความร้องทุกข์ฝ่ายโจทก์ว่า โจทก์กับพวกบุกรุกที่ดินของจำเลยนั้นจะต้องมีมูลความจริงอยู่ว่าจำเลยน่าจะมีกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างจริง มิเช่นนั้นแล้วจำเลยย่อมจะต้องเสี่ยงต่อความรับผิดหากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่กล่าวอ้าง เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีแพ่งเรื่องก่อนว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 เป็นบริวารของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลม. ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุด จำเลยจึงต้องรับผิดในการในการกระทำดังกล่าวของตน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไว้ครบถ้วนแล้ว แม้คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกาจำเลยที่ 1 ลงประกาศหนังสือพิมพ์ มีข้อความกล่าวหาโจทก์ทั้งสามโดยระบุชื่อโจทก์ทั้งสามว่า “บุกรุกที่ดินของจำเลยที่ 1ถูกจำเลยที่ 1 ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาและยังขู่ไม่ให้บุคคลภายนอกจับจองหรือซื้ออาคารของโจทก์ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน”เช่นนี้เป็นการขัดแย้งต่อคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่โจทก์ทั้งสามทางชื่อเสียงความเชื่อถือ และธุรกิจการค้า การประกาศหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามโดยชัดแจ้งอีกกรณีหนึ่ง ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งหกร่วมกันให้การมาในคำให้การฉบับเดียวกัน ยอมรับว่าได้ร่วมกันกระทำต่อโจทก์ แต่ได้กระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 ไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกคำให้การของจำเลยที่ 5จำเลยที่ 6
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีนางอิงครัตน์ สมุทรโคจร โจทก์ที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเมื่อต้นปี 2525 โจทก์ทั้งหมดได้ร่วมกันลงทุนสร้างอาคารพาณิชย์อาคารชุดและตึกซุปเปอร์มาร์เก็ตมากกว่า 10 ชั้น ในที่ดินของโจทก์เพื่อจัดสรรขายหากำไร ใช้เงินหมุนเวียนในกิจการนี้ประมาณ80,000,000 บาท โดยขอกู้จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และธนาคารต่าง ๆ มาใช้จ่ายในการก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ ในอัตราดอกเบี้ยสูงทุกเดือน ขณะนี้โจทก์ทั้งสามได้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินจำนวน 7 ห้อง ไปถึง 4 ชั้น แล้ว ราคาประมาณ28,000,000 บาท และได้ยกป้ายประกาศโฆษณาขายอาคารพาณิชย์และอาคารชุดพร้อมที่ดินในที่ดินริมถนนนานาเหนือเพื่อจูงใจประชาชน จำเลยทั้งหมดเป็นแม่ลูกกันอาศัยอยู่ในที่ดินเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ ได้ร่วมกันจงใจใช้สิทธิไม่สุจริตสมคบกันทำการก่อกวนขัดขวางกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสาม เพื่อไม่ให้โจทก์ทั้งสามเข้าทำประโยชน์ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของโจทก์ได้สะดวกโดยจำเลยทั้งหมดใช้ชื่อจำเลยที่ 1 ไปแจ้งความกล่าวหาว่าคนของโจทก์บุกรุกเข้าไปในที่ดินดังกล่าว แต่ศาลอาญายกฟ้องคดีถึงที่สุด ครั้นเดือนกุมภาพันธ์ 2525 จำเลยทั้งหมดก็ได้แจ้งความว่าคนของโจทก์กับพวกบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์อีก10 กว่าครั้ง แต่ตำรวจไม่ดำเนินคดีให้ จำเลยจึงได้ฟ้องโจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับพวกเป็นคดีอาญาอีก แต่ศาลอาญายกฟ้อง นอกจากนี้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ยังไปยื่นค้านไม่ยอมรื้อย้ายครัวและโรงเก็บของในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่แพ้คดีอีกจำเลยทั้งหมดยังได้ไปยื่นค้านไม่ให้เขตพระโขนงออกใบอนุญาตให้โจทก์ทั้งหมดปลูกสร้างอาคารในที่ดิน แต่ไม่ได้ผลนอกจากนั้นเมื่อต้นเดือนเมษายน 2525 จนถึงบัดนี้จำเลยได้สมคบกันเขียนแผ่นป้ายประกาศโฆษณาด้วยข้อความว่าที่ดินผืนนี้มีคดีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ติดไว้หลายแห่งริมถนนนานาเหนือและที่อื่นใกล้เคียงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดิน เมื่อเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2525 จำเลยทั้งหมดได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ ติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนซึ่งข้อความที่ไม่เป็นความจริงและหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ทั้งสาม ระบุข้อความขู่เข็ญจะดำเนินคดีแก่ผู้มาจองผู้จะซื้อและหรือผู้ซื้ออาคารพาณิชย์ และอาคารชุดของโจทก์พร้อมทั้งแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้เพื่อให้ประชาชนติดต่อสอบถามโดยเจตนาจะได้แนะนำและพูดขู่ทางโทรศัพท์ไม่ให้ผู้คนมาซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์ของโจทก์ การกระทำต่าง ๆ ของจำเลยทั้งหกเป็นการจงใจทำให้โจทก์ทั้งหมดเสียหาย เพราะเป็นมูลเหตุโดยตรงที่ทำให้ประชาชนทั่วไปและผู้จอง ผู้จะซื้อ และหรือผู้ซื้อสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน เลิกจอง เลิกซื้อไปมากราย ทำให้ทรัพย์สินดังกล่าวของโจทก์เสื่อมค่าทำให้โจทก์ทั้งสามเสียชื่อเสียง และเสียหายแก่การทำมาหาได้ คนทั่วไปเข้าใจผิดขาดความเชื่อถือโจทก์ขาดการสนับสนุนทางการเงินจนอาจทำให้เจ้าหนี้ผู้เป็นนายทุนโครงการก่อสร้างและเจ้าหนี้อื่นเร่งรัดหนี้สิน ทำให้โจทก์ไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันกำหนด ถือว่าจำเลยทั้งหมดทำละเมิดโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งหมดจึงต้องร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการทำให้เสียชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นเงิน 4,000,000 บาทเพื่อการที่ถูกขัดขวางก่อกวน ต่อต้าน โดยเจตนาร้ายไม่ให้โจทก์ทั้งสามเข้าไปใช้สิทธิทำประโยชน์ในที่ดินได้สะดวก เป็นเงิน4,000,000 บาท เพื่อทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญในอาชีพการจัดสรรขายที่ดินโดยเป็นปกติธุระของโจทก์ทั้งหมดเป็นเงิน4,000,000 บาท เพื่อทรัพย์สินคือผลกำไรที่ควรได้รับจากการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 4,000,000 บาท รวมเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายทั้งสิ้นจำนวน 16,000,000 บาทขอให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันและแทนกันชำระเงินค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสาม และให้จำเลยร่วมกันและแทนกันชำระค่าทดแทนค่าเสียหายเป็นรายวันทุกวันในอัตราวันละ 50,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ และคดีถึงที่สุด พร้อมกับทำลายแผ่นป้ายโฆษณาโดยสิ้นเชิงกับให้จำเลยเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากจำนวนเงินดังกล่าวข้างต้นทั้งสองจำนวน
จำเลยทั้งหกให้การว่า โจทก์ที่ 1 มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนของโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งหมดให้ชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์ที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและอาคารที่กำลังก่อสร้างฟ้องของโจทก์บรรยายไม่ชัดแจ้งในสภาพข้อหาว่า จำเลยแต่ละคนกระทำการอย่างไรอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ และโจทก์เสียหายอย่างไรเป็นจำนวนเท่าใดที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมจำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำการกลั่นแกล้งโจทก์ตามฟ้อง แต่ได้กระทำการโดยสุจริตและเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของบ้านเมืองทั้งนี้เพราะเดิมที่ดินพิพาทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุมนาตำบีไซ.บูมารีกัน หรือ เอม.ที.เอส มารีกัน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ขายให้จำเลยที่ 4 ในราคาตารางวาละ1,500 บาท และจะจดทะเบียนโอนให้เมื่อการชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเสร็จสิ้นลง ผู้ขายได้ส่งมอบที่ดินและบ้านดังกล่าวให้จำเลยทั้งหมดเข้าครอบครองมาตั้งแต่ ปี 2506เป็นต้นมา หลังจากมีการเลิกห้างหุ้นส่วนดังกล่าวแล้ว ในปี 2515ผู้ชำระบัญชีได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินออก แล้วขายให้แก่โจทก์ที่ 3แต่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อโจทก์ที่ 2 โดยไม่โอนที่ดินให้จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงไม่ยอมให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 2 ได้ฟ้องห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุนนาตำบีไซบูมารีกันให้ส่งมอบที่ดินให้ ในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3023/2522 ของศาลชั้นต้น แล้วบังคับคดีตามยอมโดยบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ในฐานะบริวารของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวให้ออกจากที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 และที่ 4ได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลชั้นต้นว่า มิได้เป็นบริวาร แต่เป็นเจ้าของที่ดินโดยการเข้าครอบครองที่ดินโดยสงบเปิดเผย และสุจริตมาเกิน 10 ปี แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4เป็นบริวารของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุนนาตำบีไซบูมารีกันผู้ขาย ให้ผู้ร้องทำการรื้อโรงครัวและโรงรถ หรือยอมให้ห้างหุ้นส่วนผู้ขายรื้อออกไป จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดี ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ที่ 2 ได้ให้โจทก์ที่ 3 กับพวกบุกรุกเข้ามาในที่ดินพิพาทเข้าทำการรื้อโรงครัว โรงรถและปลูกสร้างอาคารบนที่ดิน จำเลยที่ 1ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน แต่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 กับพวกยังคงบุกรุกตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงได้ฟ้องโจทก์ที่ 2 ที่ 3 กับพวกเป็นคดีอาญาในข้อหาบุกรุกด้วยตนเอง ศาลอาญาพิพากษาว่าคดีไม่มีมูลจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3023/2522 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกาขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา และวันที่ 16 กันยายน 2525 จำเลยที่ 4ได้ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุนนาตำบีไซบูมารีกันกับพวกขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 11325/2525 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ด้วยเหตุดังกล่าวจำเลยทั้งหมดจึงสามารถติดตั้งป้ายประกาศและประกาศทางหนังสือพิมพ์ได้โดยสุจริต จำเลยทั้งหมดไม่ได้ขัดขวางการขายอาคารชุดของโจทก์ทางโทรศัพท์ เพียงแต่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบเท่านั้น ไม่เป็นการละเมิดโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ จำนวน 400,000 บาท กับชำระค่าเสียหายในการที่จำเลยกระทำให้โจทก์ทั้งสามเสียประโยชน์แก่ทางทำมาหาได้เป็นเงิน 2,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,400,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 2,400,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสี่ทำลายแผ่นป้ายโฆษณาโดยสิ้นเชิง และให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 5 และที่ 6
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 ได้ยอมรับข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยเพียงแต่กล่าวอ้างว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตเท่านั้น และฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อสู้คดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3023/2522 ของศาลชั้นต้นก็ดี จำเลยได้ร้องทุกข์กล่าวหาว่าโจทก์กับพวกบุกรุกที่ดินของจำเลยก็ดี หรือการที่จำเลยได้ฟ้องคดีอาญากล่าวหาว่าโจทก์กับพวกบุกรุกที่ดินของจำเลยก็ดี เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยพึ่งสถาบันของรัฐโดยสุจริตนั้น เห็นว่าการแจ้งความร้องทุกข์และการฟ้องคดีต่อศาล จะต้องกระทำโดยสุจริตมิใช่อาศัยสถาบันของรัฐเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายหนึ่งการที่จำเลยต่อสู้หรือฟ้องคดีต่อศาลหรือแจ้งความร้องทุกข์ฝ่ายโจทก์ว่าโจทก์กับพวกบุกรุกที่ดินของจำเลยนั้น จะต้องมีมูลความจริงอยู่ว่า จำเลยน่าจะมีกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างจริง ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดแต่ความจริงจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินเพียงแปลงเดียวตามโฉนดเลขที่ 94095 เท่านั้น จำเลยอ้างว่าได้ที่ดินมาโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ที่ดินแปลงดังกล่าวมาโดยซื้อจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุนนาตำบีไซบูมารีกันขณะเดียวกันจำเลยก็นำสืบรับว่าจำเลยได้ทราบว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุนนาตำบีไซบูมารีกันได้ขายที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ที่ 2 แต่ในการต่อสู้คดีหรือฟ้องร้องหรือแจ้งความร้องทุกข์ จำเลยกลับกล่าวอ้างว่าที่ดินซึ่งโจทก์ที่ 2 ซื้อไปโดยจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ถูกต้องนั้นเป็นที่ดินของจำเลย จำเลยยังได้กล่าวอ้างกรรมสิทธิ์นี้แจ้งความกล่าวหาโจทก์กับพวกรวมตลอดถึงผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้รับเหมาถมดินในที่ดินของโจทก์ที่ 2 ว่าบุกรุกที่ดินของจำเลยร่วมสิบ ๆ ครั้งแม้จำเลยใช้สิทธิทางศาลและทางพนักงานสอบสวน จำเลยย่อมจะน้องเสี่ยงต่อความรับผิดหากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3023/2533 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 เป็นบริวารของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุนนาตำบีไซบูมารีกัน ไม่มีสิทธิใด ๆในที่ดินพิพาทคดีถึงที่สุด จำเลยจึงต้องรับผิดในการกระทำดังกล่าวของตน นอกจากนี้การที่จำเลยปิดประกาศโฆษณาไว้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 44 ของจำเลยด้านถนนนานาเหนือป้ายดังกล่าวมีข้อความว่า ที่ดินผืนนี้มีคดีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์โฉนด94095-94101 โดยป้ายดังกล่าวได้ติดไว้ใกล้บริเวณก่อสร้างของโจทก์ทั้งสาม หันมาทางถนนนานาเหนือ เป็นที่เห็นได้ชัดแก่บุคคลทั่วไปที่สัญจรไปมาขนถนนสายนี้ การกระทำของจำเลยย่อมมีเจตนาที่จะก่อความเสียหายให้แก่โจทก์ในด้านการจำหน่ายบุคคลที่ตั้งใจจะซื้ออาคารจากโจทก์เมื่อเห็นป้ายของจำเลยแล้วย่อมจะต้องยกเลิกความตั้งใจที่จะซื้ออาคารจากโจทก์เสีย เพราะไม่มีผู้ใดที่จะเสี่ยงซื้ออาคารที่มีข้อพิพาทกันอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ยังได้ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันถึง 4 ฉบับ เป็นภาษาไทย 2 ฉบับภาษาอังกฤษ 1 ฉบับ ภาษาจีน 1 ฉบับ ติดต่อกันมีกำหนด 1 เดือนมีข้อความกล่าวหาโจทก์ทั้งสามโดยระบุชื่อโจทก์ทั้งสามว่าบุกรุกที่ดินของจำเลยที่ 1 ถูกจำเลยที่ 1 ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาและยังขู่ไม่ให้บุคคลภายนอกจับจองหรือซื้ออาคารของโจทก์ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ตามประกาศดังกล่าวยังให้หมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อสอบถามไปยังจำเลยที่ 1 อีกด้วยประกาศดังกล่าวได้ลงในหนังสือพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคม 2525 ภายหลังจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2524 ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 เป็นบริวารของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมุนนาตำบีไซบูมารีกัน ให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 รื้อหรือยอมให้จำเลย (ห้างหุ้นส่วนดังกล่าว) รื้อเรือนครัวและโรงเก็บของออกไปแม้คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ฎีกา แต่ได้มีคำสั่งศาลชั้นต้นรับรองกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไว้ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 ลงประกาศหนังสือพิมพ์ดังกล่าว จึงเป็นการขัดแย้งต่อคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่โจทก์ทั้งสามทางชื่อเสียง ความเชื่อถือและธุรกิจการค้า การประกาศหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามโดยแจ้งชัดอีกกรณีหนึ่ง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ชอบแล้ว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกาต่อไปว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามโดยยกเอาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ขึ้นมากล่าวอ้างในชั้นฎีกานั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันจงใจใช้สิทธิโดยไม่สุจริตสมคบกันทำการก่อกวนขัดขวางกลั่นแกล้งโจทก์เพื่อไม่ให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของโจทก์ได้สะดวก โดยจำเลยทั้งหมดใช้ชื่อจำเลยที่ 1ไปแจ้งความกล่าวหาว่าคนของโจทก์บุกรุกเข้าไปในที่ดินดังกล่าวและยังได้กล่าวหาว่าจำเลยทั้งหมดได้สมคบกันเขียนแผ่นป้ายโฆษณาประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม ขอให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งหกไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า จำเลยทั้งหกไม่ได้ร่วมกันกระทำต่อโจทก์ตามฟ้อง กลับให้การว่าจำเลยทั้งหกมิได้กระทำกลั่นแกล้งโจทก์ตามฟ้อง แต่จำเลยทั้งหกได้กระทำการโดยสุจริตและเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของบ้านเมืองตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ยุติตามคำฟ้องและคำให้การว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการต่าง ๆ ต่อโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการละเมิดจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
โจทก์ทั้งสามฎีกาข้อแรกว่า จำเลยที่ 5 ที่ 6 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสาม เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งหกร่วมกันให้การมาในคำให้การฉบับเดียวกัน ยอมรับว่าได้ร่วมกันกระทำต่อโจทก์ แต่ได้กระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 5 ที่ 6 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า ไม่ได้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 ที่ 6 ไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกคำให้การของจำเลยที่ 5 ที่ 6นอกจากนี้ทางพิจารณาโจทก์ทั้งสามก็นำสืบรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 5 ที่ 6 ได้ร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามด้วยจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 5 ที่ 6 ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสามรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์