แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน เมื่อจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ย่อมต้องนำสืบให้ได้ตามคำฟ้อง คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันหรือไม่ เพียงใด ไม่มีประเด็นว่าสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ และสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมหรือไม่ ทั้งปัญหาว่าสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ และสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมหรือไม่ มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่จะนำข้อเท็จจริงนั้นไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องได้
จำเลยที่ 1 ถามค้านพยานโจทก์ได้ความว่าเดิมรถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ประสงค์จะกู้ยืมเงินโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ตกลงโอนชื่อทางทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นโจทก์จึงจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้เห็นว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ จึงไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จำเลยที่ 1 จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ เช่นนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันโดยชอบในศาลล่างทั้งสองต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพใช้การได้ดี หากส่งมอบคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 220,000 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 28,500 บาท และค่าเสียหายวันละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 200,000 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน 28,000 บาท กับให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน แต่ไม่เกิน 24 เดือน กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน เมื่อจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ย่อมต้องนำสืบให้ได้ตามคำฟ้อง คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันหรือไม่ เพียงใด ไม่มีประเด็นว่าสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ และสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมหรือไม่ตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกา ทั้งปัญหาว่าสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ และสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมหรือไม่ มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่จะนำข้อเท็จจริงนั้นไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถามค้านพยานโจทก์ได้ความว่าเดิมรถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ประสงค์จะกู้ยืมเงินโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ตกลงโอนชื่อทางทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นโจทก์จึงจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้เห็นว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ จึงไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จำเลยที่ 1 จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ เช่นนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันโดยชอบในศาลล่างทั้งสองต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1 ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ