คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3051/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์สินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องที่ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ให้การว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์จดทะเบียนรับจำนองทรัพย์สินพิพาทจากจำเลยโดยสุจริต ดังนี้ คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์รับจำนองทรัพย์สินพิพาท และจดทะเบียนสิทธิจำนองโดยสุจริตหรือไม่ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายชอบที่จะนำสืบ.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินพิพาทคือที่ดินและอาคารสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ซึ่งจำเลยจำนองไว้กับโจทก์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องที่ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยเป็นเพียงผู้มีชื่อทางทะเบียนในที่ดินดังกล่าวเท่านั้น ทั้งผู้ร้องยังได้ฟ้องโจทก์และจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการจำนองโดยไม่สุจริตไว้ด้วยแล้ว ขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึด
โจทก์ให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินพิพาท และโจทก์จดทะเบียนรับจำนองทรัพย์สินพิพาทจากจำเลยโดจ
ยสุจริต ผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และมิได้มีการจดทะเบียนแสดงการได้มาซึ่งสิทธิของตนแต่อย่างใด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องและคำให้การของโจทก์ คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานจึงสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย และพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลำีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาโจท์ในข้อ 2.1 กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์โจทก์ยังไม่เห็นพ้องด้วยแล้วเท้าความว่าผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขัดทรัพย์เพื่อมีเจตนาที่จะขัดขวางการบังคับคดีของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ได้ จำเลยจะอ้างว่าไม่รู้ถึงสิทธิของโจทก์หาได้ไม่ และก่อนที่โจทก์จะรับจดทะเบียนจำนองทรัพย์สินพิพาท ปรากฏว่าทรัพย์สินพิพาทได้จดทะเบียนจำนองกับธนาคารต่าง ๆ หลายครั้ง และโจทก์ได้ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์สินพิพาทแล้ว เมื่อไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านรวมทั้งผู้ร้องทั้งสองในการที่จำเลยนำทรัพย์สินพิพาทมาจดทะเบียนจำนองโจทก์จึงรับจำนองทรัพย์สินพิพาทโดยเปิดเผยและสุจริต ทั้งผู้ร้องทั้งสองมิได้จดทะเบียนสิทธิการได้มาซึ่งทรัพย์สินพิพาท สิทธิของผู้ร้องทั้งสองที่อ้างนั้นจะมีอยู่หรือไม่ ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งได้สิทธิจำนองมาโดยชอบด้วยกฎหมายได้ และตอนท้ายโจทก์กล่าวในฎีกาขอให้ศาลฎีกาได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์รับจำนองทรัพย์สินพิพาทและจดทะเบียนสิทธิจำนองโดยสุจริตหรือไม่ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายชอบที่จะนำสืบ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีไม่มีประเด็นดังกล่าวจะต้องวินิจฉัย จึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share