แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยและจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในสำนวนคดีอื่นเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายส.ฝ่ายเดียวโดยจำเลยเข้าไปรัดคอส. จำเลยที่ 2 ที่ 1เข้าไปใช้ขวดน้ำอัดลมตีศีรษะและต่อยส.ส.ซึ่งอยู่ในสภาพที่ถูกรัดคอและถูกทำร้ายเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงจากถูกทำร้ายได้ ดังนั้นการที่ ส. ใช้อาวุธปืนที่ติดตัวมายิงถูกจำเลยและพลาดไปถูกบุคคลซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเรื่องที่ ส. กระทำไปเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของจำเลยกับพวกโดย ส. ไม่มีเจตนาหรือสมัครใจที่จะเข้าต่อสู้ทำร้ายร่างกายจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกและ ส.ไม่เป็นความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กันเป็นเหตุให้คนตาย และได้รับอันตรายสาหัส
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่2609/2532 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ ฎีกา คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลย กับจำเลยที่ 1 ที่ 2ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2609/2532 ของศาลชั้นต้น และพวกที่หลบหนี 1 คน ฝ่ายหนึ่งกับพวกที่หลบหนี 1 คน อีกฝ่ายหนึ่งเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป เป็นเหตุให้นายอุทัย เอี่ยมทิพย์ ถึงแก่ความตาย นายกลั่น หนูสิทธิ์ และจำเลยได้รับอันตรายสาหัสเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294, 299
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294 และ 299 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยและจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2609/2532 ของศาลชั้นต้นฝ่ายหนึ่ง กับนายสำรวยอีกฝ่ายหนึ่ง ได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 และ 299 นั้น การต่อสู้ในมาตราดังกล่าวย่อมหมายความถึงการที่บุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไปมีเจตนาหรือสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงตามที่ฟังได้ความมาแล้วข้างต้นนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยและจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2609/2532เข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายนายสำรวยแต่ฝ่ายเดียว โดยจำเลยเข้าไปรัดคอนายสำรวย จำเลยที่ 2 และที่ 1 ของคดีดังกล่าวเข้าไปใช้ขวดน้ำอัดลมตีศีรษะและต่อยนายสำรวย นายสำรวยซึ่งอยู่ในสภาพที่ถูกรัดคอและถูกทำร้ายเช่นนี้ย่อมไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงจากการถูกทำร้ายได้ ดังนั้น การที่นายสำรวยใช้อาวุธปืนติดตัวมายิงถูกจำเลยและพลาดไปถูกบุคคลซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นพฤติการณ์ที่นายสำรวยกระทำไปเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของจำเลยกับพวก โดยนายสำรวยไม่มีเจตนาหรือสมัครใจที่จะเข้าต่อสู้ทำร้ายร่างกายจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกและนายสำรวยจึงไม่เป็นความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กันตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นและเนื่องจากการกระทำของจำเลยในคดีนี้ไม่เป็นความผิดเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 2ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2609/2534 ของศาลชั้นต้นที่มิได้ฎีกาได้ด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์คดีนี้ และคดีอาญาหมายเลขแดงที่2609/2532 ของศาลชั้นต้น”