แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งขอความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาแก่พนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมกันขุดถนนริมคลองไหหลำอันเป็นถนนสาธารณะทำให้ถนนอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร อันเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ทำให้โจทก์ทั้งสี่เสียหายเพราะถูกฟ้องคดีอาญา คำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งมีกำหนดอายุความทางอาญา 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนสาธารณะ ความจริงโจทก์ทั้งสี่ขุดรางน้ำในที่ดินโฉนดเลขที่ 260 ของโจทก์ที่ 1 กับ บ.ทำให้โจทก์ทั้งสี่ถูกดำเนินคดีอาญา ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาทจำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ขุดเป็นที่ดินสาธารณะไม่ใช่ที่ดินในโฉนดเลขที่ 260 โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหายประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ขุดถนนสาธารณะนั้นเป็นความเท็จอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยเพียงใด โจทก์ทั้งสี่เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นจึงตกอยู่แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำละเมิดโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ ค่าเสียหายเพียงใด และกำหนดว่าภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ทั้งสี่ จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 กับนางบุญนาค มีศิริ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 260 ตำบลท่าเสา อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทมรสาคร เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2529 จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อร้อยตำรวจเอกสุทธินันท์ นันท์นฤมิตร พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร อำเภอกระทุ่มแบนว่า เมื่อวันที่ 29 ถึง 30กรกฎาคม 2529 โจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนริมคลองไหหลำอันเป็นถนนสาธารณะ ความจริงที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ขุดเป็นที่ดินในเขตโฉนดดังกล่าว และบริเวณที่ดินนั้นไม่มีถนนสาธารณะชื่อถนนริมคลองไหหลำเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนหลงเชื่อ ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ทั้งสี่ในข้อหาทำให้ทางสาธารณะอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร และพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสี่เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2772/2530 ของศาลชั้นต้น ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย เสียเสรีภาพ ขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้160,000 บาท เสียสุขภาพจิตและอนามัย ขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้240,000 บาท รวม 400,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน400,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยรับราชการเป็นปลัดอำเภอกระทุ่มแบนรับผิดชอบตำบลท่าเสา วันที่ 2 สิงหาคม 2528 ราษฎรร้องเรียนต่อทางอำเภอว่าโจทก์ที่ 1 กับนางบุญนาคขุดถนนสาธารณะและร้องเรียนอีกหลายครั้งจำเลยได้รับมอบหมายจากนายอำเภอกระทุมแบนให้แก้ปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร จึงไปตรวจสอบพบว่ามีการขุดทางสาธารณะซึ่งอยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 260 ขาดเป็น 3 ช่วง ทำให้ราษฎรไม่อาจสัญจรไปมาได้จึงทำหนังสือถึงกำนันตำบลท่าเสาให้แจ้งโจทก์ที่ 1 กับพวกระงับการขุดและนำท่อระบายน้ำที่ขุดขึ้นมาฝังลงตามเดิมแต่โจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม นายอำเภอกระทุ่มแบนจึงมอบให้จำเลยไปร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์ที่ 1 กับพวก และศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าโจทก์ที่ 1 กับพวกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2772/2530 ของศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นการแจ้งความเท็จ จำเลยกระทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรตามอำนาจหน้าที่ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง ฟ้องของโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2529แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย โจทก์ทั้งสี่เพิ่งนำคดีมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2538 จึงขาดอายุความค่าเสียหายที่เรียกมานั้นเกินสมควร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ที่ว่าคดีของโจทก์ทั้งสี่ไม่ขาดอายุความนั้น คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาแก่พนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนริมคลองไหหลำอันเป็นถนนสาธารณะทำให้ถนนอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจรอันเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172ทำให้โจทก์ทั้งสี่เสียหายเพราะถูกฟ้องคดีอาญา คำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งมีกำหนดอายุความทางอาญา 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3)โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งภายในกำหนด 10 ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคหนึ่งปรากฎตามคำฟ้องว่าจำเลยแจ้งข้อความที่โจทก์ทั้งสี่อ้างว่าเป็นเท็จเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2529 โจทก์ทั้งสี่คดีเมื่อวันที่ 31พฤษภาคม 2538 คดีโจทก์ทั้งสี่จึงยังไม่ขาดอายุความ
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ที่ว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นและภาระการพิสูจน์ไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ร่วมกันขุดถนนสาธารณะความจริงโจทก์ทั้งสี่ขุดรางน้ำในที่ดินโฉนดเลขที่ 260 ตำบลท่าเสา อำเภอกระทุ่งแบนจังหวัดสมุทรสาคร ของโจทก์ที่ 1 กับนางบุญนาค มีศิริ ทำให้โจทก์ทั้งสี่ถูกดำเนินคดีอาญา ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาทจำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ขุดเป็นที่ดินสาธารณะ ไม่ใช่ที่ดินในโฉนดเลขที่ 260 โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสี่เสียทั้งสิ้น ประเด็นข้อพิพาทจึงมีข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ขุดถนนสาธารณะนั้นเป็นความเท็จอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่หรือไม่โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยเพียงใดโจทก์ทั้งสี่เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าข้อความที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นจึงตกอยู่แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำละเมิดโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ค่าเสียหายเพียงใดและกำหนดว่าภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ทั้งสี่จึงชอบแล้ว
โจทก์ยกคำสั่งศาลชั้นต้นกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่