คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 341 ไม่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้แต่ประการใดว่าการหักกลบลบหนี้ระหว่างกันนั้นจะต้องได้รับความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่ง จำเลยได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์แล้ว ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าการฝากเงินของโจทก์ไว้กับจำเลยนั้นได้มีการกำหนดเวลาคืนเงินฝากไว้แน่นอน กรณีจึงต้องถือว่าหนี้เงินฝากดังกล่าวถึงกำหนดชำระหนี้ทันทีที่โจทก์ได้ฝากเงินไว้กับจำเลยและก็ไม่ปรากฎเช่นกันว่าทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตนาไม่ให้นำหนี้ที่มีอยู่ต่อกันมาหักกลบลบกันไว้แต่อย่างใด จำเลยจึงมีสิทธิที่จะนำเงินฝากในบัญชีของโจทก์ไปหักกลบลบกับหนี้ที่โจทก์กู้เงินไปจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๕๐๖,๕๖๓.๗๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน ๔๘๐,๗๒๔.๗๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากดังกล่าว เนื่องจากโจทก์เป็นหนี้เงินกู้ธนาคารจำเลย สาขาบางใหญ่ นนทบุรี จำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ๗๑๔,๒๗๒.๗๒ บาท จำเลยจึงใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ หักบัญชีเงินฝากของโจทก์ดังกล่าวเพื่อไปชำระหนี้เงินกู้ในส่วนดอกเบี้ย โจทก์จึงยังคงค้างหนี้เงินต้น๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย ๒๓๓,๕๔๗.๙๔ บาท ซึ่งจำเลยได้นำมูลหนี้ดังกล่าวไปฟ้องบังคับให้โจทก์ชำระหนี้ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยแล้ว ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๐๕/๒๕๔๓ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๘๐,๗๒๔.๗๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน ๒๕,๘๓๘.๙๕ บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาว่า จำเลยมีสิทธินำหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่จำเลยจะต้องคืนเงินที่รับฝากไว้จากโจทก์โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ บัญญัติถึงเรื่องการหักกลบลบหนี้ไว้ว่า “ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น…” บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้แต่ประการใดว่าการหักกลบลบหนี้ระหว่างกันนั้นจะต้องได้รับความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่ง สำหรับคดีนี้ได้ความตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า จำเลยได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์แล้ว ปรากฎตามหนังสือของธนาคารจำเลยสาขา สะพานใหม่ดอนเมือง ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าการฝากเงินของโจทก์ไว้กับจำเลยนั้นได้มีการกำหนดเวลาคืนเงินฝากไว้แน่นอน กรณีจึงต้องถือว่าหนี้เงินฝากดังกล่าวถึงกำหนดชำระหนี้ทันทีที่โจทก์ได้ฝากเงินไว้กับจำเลย และเมื่อการกู้เงินและรับฝากเงินระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวก็ไม่ปรากฎเช่นกันว่าทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตนาไม่ให้นำหนี้ที่มีอยู่ต่อกันมาหักกลบลบกันไว้แต่อย่างใด จำเลยจึงมีสิทธิที่จะนำเงินฝากในบัญชีของโจทก์ไปหักกลบลบกับหนี้ที่โจทก์กู้เงินไปจากจำเลยที่ถึงกำหนดชำระแล้วได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

นายนพพร โพธิรังสิยากร ผู้ช่วยฯ
นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายวีระวัฒน์ ปวราจารย์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share