คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 304/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองออกโฉนดที่ดินพิพาททับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวันซึ่งเป็นที่หลวงไม่อาจออกโฉนดให้บุคคลใดได้ และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม เนื่องจากทำให้โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับประโยชน์จากที่ดินพิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามจำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานของจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำโดยประมาทเลินเล่อออกโฉนดที่ดินรวม 3 โฉนด ให้แก่นายตอม เศรษฐบุตรทับที่หลวง และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามโฉนดให้โจทก์ทั้งสามตามสัญญาซื้อขาย อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อมาจำเลยที่ 1 ได้มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสามเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน22,609,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองให้การว่า เจ้าพนักงานของจำเลยทั้งสองได้ออกโฉนดที่ดินตามฟ้องโดยปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ มิได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายหรือประมาทเลินเล่อ การกระทำของเจ้าพนักงานจำเลยทั้งสองจึงมิได้ละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามเรียกมาสูงเกินกว่าเหตุขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2500นายชาติ บุณยรัตพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีในขชณะนั้นซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยที่ 2 และนายภุชงค์ สุวรรณจูฑะ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้นซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันออกโฉนดที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่นายตอม เศรษฐบุตร และเมื่อวันที่ 7กุมภาพันธ์ 2510 นายฉัตร โรจนราธา เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้นซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงจากนายตอมให้แก่โจทก์ทั้งสาม ต่อมาปรากฏว่าโฉนดที่ดินพิพาททั้งสามแปลงออกทับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวันอันเป็นที่หลวงจำเลยที่ 1 มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งสามแปลง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า นายชาติกับนายภุชงค์ออกโฉนดที่ดินพิพาทและนายฉัตรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามหรือไม่ และจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองออกโฉนดที่ดินพิพาททับเขตที่ดินพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการกระทำโดยความประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม เนื่องจากทำให้โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับประโยชน์จากที่พิพาท จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามจำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสามฟังขึ้น
สำหรับความเสียหายของโจทก์ทั้งสามนั้น โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ทั้งสามอาจขายที่ดินพิพาทได้ในขณะถูกเพิกถอนไร่ละไม่น้อยกว่า200,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงเอกสารหมาย จ.10 นั้นเห็นว่า ไม่ปรากฏว่าที่ดินตามเอกสารหมาย จ.10 มีเนื้อที่เท่าใดอยู่ใกล้ไกลจากที่ดินพิพาทเท่าใด จึงยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทมีราคาตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ส่วนจำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมีราคาประเมินของทางราชการในช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2525-2527 รวมกันเป็นเงิน 3,030,300 บาท ตามเอกสารหมายล.13 ราคาประเมินดังกล่าวมิได้ใช้กับที่ดินพิพาทเท่านั้น แต่ใช้กับที่ดินแปลงอื่นในบริเวณใกล้เคียงด้วย จึงเห็นควรกำหนดให้โจทก์ทั้งสามได้รับชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินตามราคาประเมินของทางราชการ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ขอมาคือวันที่ 18 พฤษภาคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รับแจ้งคำสั่งเพิกถอนโฉนด ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 3,030,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 18 พฤษภาคม2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share