คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใด การที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกที่สาธารณะ จึงมิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ใหญ่บ้านคนละหมู่บ้าน จำเลยทั้งสองได้พบคนบุกรุกไถทำถ่ายที่ดินสาธารณประโยชน์ จำเลยละเว้นไม่จับกุม เพื่อให้โจทก์เสียหาย ต่อมาจำเลยทั้งสองได้เขียนหนังสือใส่ความโจทก์ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อนายอำเภอซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนว่า โจทก์และครอบครัวบุกรุกไถทำลายที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว จำเลยรู้อยู่ว่าโจทก์มิได้กระทำผิด และเพื่อให้โจทก์ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง และต้องรับโทษทางอาญา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๗, ๑๕๘, ๑๗๒, ๑๗๔, ๑๒๖, ๙๑, ๕๙
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏในท้องสำนวนว่าการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใดเลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ในการทำความผิดฐานบุกรุกที่สาธารณประโยชน์โดยผู้บุกรุกนั้นๆ การที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกจึงมิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ เพราะผลของการไม่จับกุมมิได้เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เลย การที่จำเลยทั้งสองมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดฐานบุกรุกที่สาธารณะเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากการกระทำกล่าวมา แม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสองในข้อนี้++ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ไป+++ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานกระทำผิดต่อกฎหมายมาตราดังกล่าว
พิพากษายืน

Share