คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติ ได้หรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานจำเลย และนัดฟังคำพิพากษาได้กรณีของโจทก์ไม่อาจขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้และดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้
โจทก์นำสืบก่อน โจทก์นำพยานเข้าสืบได้ 3 ปาก อ้างส่งหนังสือยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีและสัญญากู้รวม 2 ฉบับ โจทก์แถลงหมดพยานศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดสืบพยานจำเลยนัดฟังพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าถึงแม้โจทก์แถลงหมดพยานโจทก์ศาลชั้นต้นจะต้องสืบพยานจำเลยต่อไป โจทก์อาจดำเนินการขอให้เจ้าหน้าที่สรรพากรปิดอากรแสตมป์และเสียเงินเพิ่มได้ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาคดีเป็นการรีบด่วนเกินไปไม่เปิดโอกาสให้โจทก์ดำเนินการปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้อง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานและพิพากษาใหม่ นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลย ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานจำเลยและนัดฟังคำพิพากษาเมื่อโจทก์มิได้จัดการให้เจ้าหน้าที่สรรพากรดำเนินการปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ก่อนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาสัญญากู้ตามฟ้องจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118และกรณีของโจทก์ไม่ต้องด้วยมาตรา 207 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่จะขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ”.

Share