แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขับไล่ออกจากที่เช่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้เสียเงินกินเหล่าแก่โจทก์เพื่ออยู่ 9 ปี และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ให้จำเลยเช่าต่อไปอีก 3 ปี เพื่อจะได้อยู่ครบ 9 ปี นั้น แม้เป็นการเช่าเกิน 3 ปี โดยไม่ได้จดทะเบียนก็ตาม แต่จำเลยเถียงว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมิใช่สัญญาเช่าธรรมดา จึงควรรับฟ้องแย้งไว้ก่อน เพราะจะชี้ขาดในประเด็นนี้ก่อนรับฟ้องแย้งหาควรไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วตามสัญญาประนีประนอม
จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้เสียเงินกินเปล่าให้แก่โจทก์เพื่ออยู่ ๙ ปี แต่จำเลยอยู่ยังไม่ครบ ๙ ปี โจทก์หลอกให้จำเลยลงชื่อในเอกสารสัญญาประนีประนอม จำเลยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตกเป็นโมฆะ และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ให้จำเลยเช่าต่อไปอีก ๓ ปี เพื่อให้ครบ ๙ ปี ตามสัญญาต่างตอบแทน
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้ง เพราะเห็นว่าไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะบังคับโจทก์ได้ตามขอ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะได้เสียเงินกินเปล่าไปจริงก็ไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทน เพราะเป็นเงินที่ชำระเพื่อให้โจทก์ยอมให้จำเลยเช่า ชำระแล้วก็เป็นอันเสร็จไป ส่วนการเช่าเกิน ๓ ปี โดยไม่จดทะเบียนจะฟ้องบังคับไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้เป็นแต่เพียงตรวจว่า จะรับเป็นฟ้องแย้งหรือไม่รับ เมื่อเกี่ยวกับฟ้องเดิมแล้วก้ต้องรับไว้ก่อน ส่วนข้ออ้างของจำเลยจะแพ้หรือชนะ เป็นข้อวินิจฉัยหลังรับฟ้องแย้งแล้ว ซึ่งต้องตัดสินโดยองค์คณะ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทน นั้น ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในข้อนี้ ส่วนการเช่าเกิน ๓ ปี ไม่ได้จดทะเบียนนั้น จำเลยเถียงว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมิใช่สัญญาเช่าธรรมดา ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีโดยยังไม่ได้รับฟ้องแย้งไม่ได้ จึงพิพากษาแก้ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา