คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จ่ายเงินค่าเสียหายให้แก่จำเลยด้วยความสำคัญผิดว่าอ. ผู้ขับขี่รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเป็นฝ่ายประมาท ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่า อ. มิใช่ผู้ประมาท ดังนี้ ที่จำเลยรับเงินไปจากโจทก์ จึงเป็นการรับชำระหนี้ที่ไม่มีมูลหนี้ที่จะอ้างได้ตามกฎหมาย เมื่อได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีดังกล่าวให้คู่ความฟังในวันใด ถือว่าโจทก์รู้ความจริงที่ได้ชำระหนี้แก่จำเลยโดยปราศจากมูลหนี้ในวันนั้น สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้จึงเริ่มต้นนับในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดียังไม่พ้นกำหนด 1 ปี จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน9 น-1760 นายอุ่นขับรถยนต์คันดังกล่าวไปชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.ห-0012 ซึ่งจำเลยรับประกันภัยไว้ พนักงานสอบสวนเห็นว่าเป็นความประมาทของนายอุ่น โจทก์จึงยอมจ่ายเงิน30,000 บาท แก่จำเลย ภายหลังศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีแพ่งว่านายอุ่นมิใช่ผู้ประมาท การที่จำเลยรับเงินค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าเสียหายของรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท.ห-0012ไปจากโจทก์ จึงปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ขอให้จำเลยคืนเงิน30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ค่าเสียหายนั้นโจทก์ได้ใช้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง อายุความที่โจทก์จะบังคับจำเลยได้สิ้นสุดลงแล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ได้จ่ายเงินเป็นค่าเสียหายตามเอกสารหมาย จ.1 จำนวนเงิน 30,000 บาท ให้แก่จำเลยด้วยความสำคัญผิดว่า นายอุ่นผู้ขับขี่รถยนต์หมายเลขทะเบียนที่9น-1760 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เป็นฝ่ายขับรถไปชนรถยนต์หมายเลขทะเบียนที่ กท.ห-0012 ซึ่งจำเลยรับประกันภัยไว้โดยความประมาท ต่อมาภายหลังในต้นเดือนตุลาคม 2521นายทองดี กันตะศรี ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายวุฒิชัย ชัยวัฒน์กับพวก เป็นจำเลยและโจทก์เป็นจำเลยร่วมเรียกค่าเสียหายในมูลเหตุละเมิดเดียวกัน และศาลฎีกาพิพากษาว่า นายอุ่นมิใช่ผู้ประมาท ดังนั้น ที่จำเลยรับเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนเงิน30,000 บาทไปจากโจทก์ จึงรับชำระหนี้ที่ไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะอ้างได้ตามกฎหมาย มีปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า สำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3288/2525 ของศาลชั้นต้น ซึ่งนายทองดี กันตะศรี เป็นโจทก์ฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายอุ่น มิได้ประมาท แม้คดีนั้นจำเลยจะมิได้เป็นคู่ความ แต่จำเลยก็มิได้ให้การปฏิเสธ และมิได้นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่นในคดีนี้ จึงฟังได้ว่านายอุ่นมิได้ประมาท เมื่อศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวให้คู่ความฟังในวันที่ 5 ตุลาคม 2526 ถือว่าโจทก์เพิ่งรู้ความจริงที่โจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยโดยปราศจากมูลหนี้ในวันนั้น สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้จึงเริ่มต้นนับในวันดังกล่าวมิใช่เริ่มนับดังที่จำเลยฎีกา โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 1 ตุลาคม2527 จึงยังไม่พ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share