แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ 16,000 บาท จำเลยให้การว่าความจริงกู้เพียง 6,000 บาท ปรากฏว่าเอกสารหลักฐานแห่งการกู้เดิมเป็นแบบพิมพ์สัญญากู้เงิน เมื่อจำเลยเขียนเลข ‘6,000’ ในช่องจำนวนเงินที่กู้ยืมและเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ยืม และได้ความว่าจำเลยยืมเงินของผู้อื่นไป6,000 บาท ถือได้ว่ามีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดแล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะลงวันที่กู้ยืมผิดไปจากวันกู้ที่แท้จริงและเพิ่มเติมจำนวนเงินกู้ให้สูงขึ้น โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมซึ่งทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ก็ไม่ทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมที่สมบูรณ์อยู่แล้วเสียไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 16,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปีตามสำเนาสัญญากู้เงินท้ายฟ้อง จำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์โจทก์ทวงถามแล้วไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ 6,000 บาท ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดถือไว้ โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน ข้อความตามสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์กรอกเองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ลงวันที่กู้ยืมผิดจากวันกู้จริง โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยยินยอมด้วย เป็นการปลอมสัญญากู้ โจทก์ไม่อาจนำสัญญาปลอมมาเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 6,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย จ.1 เดิมเป็นแบบพิมพ์สัญญากู้เงินเมื่อจำเลยเขียนเลข “6,000” ในช่องจำนวนเงินที่กู้ยืม และเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ยืมเงินก็ได้ความว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินของผู้อื่นไป 6,000 บาท ถือได้ว่ามีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดแล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะลงวันที่กู้ยืมผิดไปจากวันกู้ที่แท้จริงและเพิ่มเติมจำนวนเงินกู้ให้สูงขึ้น โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมซึ่งทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวก็ไม่ทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมที่จำเลยทำไว้เดิมและสมบูรณ์อยู่แล้วเสียไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน