คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3021/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค2เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่าตามพฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งจึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยจะระงับไปแล้วหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ต คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 187/2524 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันใช้เงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีรวม2 บัญชี จำนวนเงิน 54,900.85 บาท และจำนวนเงิน 386,868.48 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้บังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์จำนอง หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยกับพวกจนกว่าจะครบ จำเลยได้นำเงินมาชำระหนี้และไถ่ถอนที่ดินโฉนดเลขที่ 18972 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2529เป็นเงิน 601,232.87 บาทเมื่อหักชำระหนี้แล้วถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน2529 จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อีก 278,413.39 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2529 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 209,153.29 บาท รวมกับต้นเงินเป็นจำนวนเงิน487,566.68 บาท โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วแต่ไม่พบ เนื่องจากจำเลยหลบหนีไปจากภูมิลำเนาเดิม และเปลี่ยนชื่อสกุลโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ติดตามบังคับคดีเอาแก่จำเลย ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์สนใจเรียกร้องค่าเสียหายเพียงแต่จำนวนเงินที่ได้ไถ่ถอนจำนอง ทรัพย์จำนองของจำเลยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,500,000 บาท ในปี 2529 โจทก์ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองจึงเป็นความผิดของโจทก์ หนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ตตามที่โจทก์ฟ้องได้ระงับไปแล้ว โดยธนาคารได้ออกหนังสืออันถือเป็นใบเสร็จรับเงินว่าหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์จำนวน 600,000 บาท ซึ่งเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยย่อมระงับไปโจทก์ออกใบเสร็จรับเงินเพื่อชำระหนี้ดอกเบี้ยระยะหนึ่งโดยมิได้อิดเอื้อนถือได้ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยไประยะก่อนแล้ว การที่โจทก์ยอมให้จำเลยไถ่ถอนจำนองเป็นการเวนคืนเอกสารแห่งหนี้ให้แก่จำเลย และโจทก์ได้แสดงแจ้งชัดว่ายินยอมรับชำระหนี้จากจำเลยเพียงจำนวน 659,153.17 บาท และไม่ติดใจเรียกร้องอีกโดยยินยอมหักกลบลบหนี้เป็นการประนีประนอมยอมความจำเลยมีทรัพย์สินมากเกินกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่ทราบคำบังคับจำเลยย้ายภูมิลำเนาโดยแจ้งย้ายถูกต้องตามกฎหมายและไม่ได้เปลี่ยนชื่อสกุลเพราะคดีนี้ หนี้โจทก์เป็นหนี้ที่ไม่แน่นอนเพราะเป็นหนี้ที่คิดจากดอกเบี้ย และคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า หนี้จำเลยที่ยังค้างอยู่ไม่ระงับและเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนเกินกว่า 50,000 บาท แต่น่าเชื่อว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวพิพากษายกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่า หนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับสิ้นไปแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ตามพฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้ง กรณีจึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวดังนั้นประเด็นเรื่องหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยจะระงับไปแล้วหรือไม่ตามที่จำเลยอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยประเด็นเรื่องหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยจะระงับไปแล้วหรือไม่ตามอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการไม่ชอบ เพราะเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลาย ถ้าศาลฟังว่าจำเลยต้องรับผิดตามฟ้องแล้วจึงจะมาวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวอันสมควรจะเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่าตามพฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้ง จึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวดังนั้นศาลอุทธรณ์ชอบที่จะไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยระงับไปแล้วหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share