แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์จดทะเบียนยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หาจำเลยให้การว่ามิใช่การให้โดยเสน่หาแต่เป็นการให้โดยมีค่าตอบแทนทั้งมีค่าภารติดพันโดยโจทก์กับจำเลยตกลงกันว่าจำเลยให้โจทก์เก็บค่าเช่าในที่ดินจนกว่าโจทก์จะถึงแก่กรรม และเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมจำเลยจะออกค่าทำศพให้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าการยกให้ที่ดินรายนี้เป็นการให้ทั้งมีค่าภารติดพันและเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าการให้ตามฟ้องเป็นการให้โดยมีค่าภารติดพันหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าการให้ของโจทก์มิใช่เป็นการให้โดยมีค่าภารติดพันแต่เป็นการให้เพื่อเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ได้ มิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องคำให้การ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 โจทก์จดทะเบียนยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 16235 แก่จำเลยโดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทนหรือภารติดพันในที่ดิน โดยมีข้อตกลงว่าให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินด้วยการให้ผู้อื่นเช่า เพื่อเก็บค่าเช่าที่ดินเลี้ยงชีพจนตลอดชีวิต ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 2532 โจทก์ป่วยไม่มีเงินรักษาเพราะยากไร้ไม่มีทรัพย์สินพอเลี้ยงชีพจึงขอเงิน9,000 บาท ซึ่งเป็นค่าเช่าที่ดินที่จำเลยเก็บไว้แทนโจทก์จำเลยไม่ให้และไม่ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลทั้งด่าโจทก์ว่าอีแก่ตายเสียก็ดีอยู่ไปทำไม เมื่อโจทก์ขอที่ดินคืน จำเลยด่าโจทก์ว่านาที่ให้จะเอาคืนใส่โลงไปให้ อีแก่ตอแหลพูดไม่อยู่กับร่องกับรอยถ้าพูดไม่ดีจะด่าให้ยกโคตรเลย การกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติเนรคุณและหลังจากนั้นจำเลยก็เก็บค่าเช่าที่ดินจากผู้เช่าเสียเองไม่ให้โจทก์ ขอให้เพิกถอนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่16235 ตำบลวัดพริก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกและพิพากษากลับเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์จดทะเบียนยกให้ที่ดินแก่จำเลยเป็นการให้ที่มีค่าตอบแทน ทั้งมีค่าภารติดพัน โดยจำเลยให้โจทก์เก็บค่าเช่าที่ดินจนกว่าโจทก์จะถึงแก่กรรม และเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมจำเลยจะทำศพให้จำเลยได้รักษาพยาบาลเลี้ยงดูโจทก์ไม่เคยด่าว่าหมิ่นประมาทโจทก์หรือทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่า การยกให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยเป็นการให้เพื่อเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535(1)จึงถอนการให้ไม่ได้ พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาโจทก์ในชั้นนี้มีเพียงว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่ายกให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยเป็นการให้เพื่อเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีนอกคำฟ้องให้การหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา จำเลยให้การว่ามิใช่การให้โดยเสน่หาแต่เป็นการให้โดยมีค่าตอบแทนทั้งมีค่าภารติดพันในที่ดินพิพาท โดยโจทก์กับจำเลยตกลงกันว่า จำเลยให้โจทก์เก็บค่าเช่าในที่ดินดังกล่าวจนกว่าโจทก์จะถึงแก่กรรม และเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมจำเลยก็จะออกค่าศพให้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าการยกให้ที่ดินรายนี้ เป็นการให้ทั้งมีค่าภารติดพันและเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ฉะนั้นแม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าการให้ตามฟ้องเป็นการให้โดยมีค่าภารติดพันหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าการให้ของโจทก์มิใช่เป็นการให้โดยมีค่าภารติดพันแต่เป็นการให้เพื่อเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวไม่ได้เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องคำให้การดังโจทก์ฎีกาแต่อย่างใด”
พิพากษายืน