คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3015/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่ติดใจและขอสละสิทธิในการบังคับคดีแก่จำเลย ดังนั้น ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งงดการบังคับคดีไว้ ชั่วคราวหรือไม่ และจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีต่อไปให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ออกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลอนุญาตให้จำเลยทั้งสองนำเงิน 100,000 บาท วางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่ปรากฏว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในอันที่จำเลยทั้งสองจะขอให้ยกหรือแก้ไขหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 งดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองที่ขอให้งดการบังคับคดีและพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาคำพิพากษาและคำสั่ง
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยทั้งสองแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วโจทก์ไม่ติดใจและขอสละสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไป ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2541
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์ขอสละสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองดังนั้น ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจสั่งงดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวหรือไม่และจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีต่อไป
ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ

Share