คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4791/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข. ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางกับผู้ร้อง เมื่อข. ผิดสัญญา ผู้ร้องก็ให้ ข. ทำสัญญาเช่าซื้อใหม่ หลังจากนั้นชง ก็ผิดสัญญาอีก และสัญญาก็ระบุไว้ทำนองว่า ไม่ว่ารถยนต์บรรทุกของกลางจะเกิดความเสียหายหรือสูญหายไปด้วยประการใด ผู้เช่าซื้อก็ต้องชำระหนี้เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ แสดงว่าผู้ร้องประสงค์จะได้ค่าเช่าซื้อเท่านั้น ผู้ร้องไม่ประสงค์จะยึดรถยนต์บรรทุกของกลางคืนเมื่อ ข. ผิดสัญญาพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเพื่อประโยชน์ของ ข. แต่ฝ่ายเดียวจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต แม้ขณะเกิดเหตุผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง แต่ผู้ร้องก็ไม่มีพยานมาสืบว่า ผู้ร้องและ ข. มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางกระทำผิด ซึ่งผู้ร้องมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าวผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๕๖, ๘๓ และสั่งริบรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ๘๐-๙๐๔๙ ขอนแก่นของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางและผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้สั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากพยานหลักฐานของผู้ร้องว่าเดิมนายชาญวุฒิเช่าซื้อรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องตามสัญญาเอกสารหมายร.๔ ต่อมานายชาญวุฒิผิดสัญญา ผู้ร้องได้ให้นายชาญวุฒิทำสัญญาเช่าซื้อใหม่ ตามสัญญาเอกสารหมาย ร.๕ นายชาญวุฒิชำระค่าเช่าซื้อในครั้งหลังนี้เพียง ๓ งวด ค้างอยู่อีก ๖ งวด เห็นว่าผู้ร้องให้นายชาญวุฒิทำสัญญาเช่าซื้อขึ้นใหม่อีกนั้น เป็นกรณีผู้ร้องประสงค์จะได้ค่าเช่าซื้ออันเป็นปกติธรรมดาเท่านั้น และเมื่อนายชาญวุฒิชำระค่าเช่าซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๑ นั้นก็ตรงกับงวดที่ ๖ ถ้านายชาญวุฒิมิได้ผิดสัญญา เงินที่ค้างชำระทั้งหมดคิดได้ ๑๒๒,๔๐๐ บาท และตามสัญญาเช่าซื้อก็ได้ระบุไว้ทำนองว่า ไม่ว่ารถยนต์บรรทุกของกลางจะเกิดความเสียหายหรือสูญหายไปด้วยประการใด ผู้เช่าซื้อก็ต้องชำระหนี้แก่ผู้ร้องเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ จึงเชื่อได้ว่าผู้ร้องไม่มีความประสงค์จะยึดรถยนต์บรรทุกของกลางคืนจากนายชาญวุฒิแต่ประการใด พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอของกลางคืนเพื่อประโยชน์ของนายชาญวุฒิผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียว ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต และแม้ขณะเกิดเหตุผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางก็ตาม ผู้ร้องก็ไม่มีพยานมาสืบว่าผู้ร้องและนายชาญวุฒิมิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางกระทำความผิดคดีนี้ เพราะผู้ร้องมีหน้าที่จะต้องพิสูจน์ว่าตนเองและนายชาญวุฒิมิได้รู้เห็นเป็นใจในการนี้ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง
พิพากษายืน.

Share