คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3013/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า จำเลยทั้งสามกับโจทก์ตกลงกันให้โจทก์ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองออกขายทอดตลาดก่อน ถ้าไม่พอจึงให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ เมื่อตามคำร้องของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ที่จำนองจะขายทอดตลาดได้ราคาไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไม้ซุง ของจำเลยที่ 1 เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์กับจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมมีข้อความว่าหากจำเลยทั้งสามผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมให้โจทก์ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทรัพย์จำนองตามฟ้องขายทอดตลาดใช้หนี้ให้แก่โจทก์ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ปรากฏว่า จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามกำหนดโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์จำนองเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 44,240,000 บาท
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยที่ 1ได้นำไม้ซุงจำนวน 4,718 ท่อนมาจำนำไว้แก่โจทก์เพิ่มเติมเพื่อเป็นประกันมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้และหนี้ของลูกหนี้รายอื่นของโจทก์อีก 9 ราย จากนั้นจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ประสงค์ที่จะขอยึดทรัพย์ของจำเลยเพิ่มเติม โจทก์ได้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดไม้ซุงจำนวน 4,718 ท่อนดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่า ตามหมายบังคับคดีให้ยึดและขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองก่อน ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นชำระหนี้ กรณีนี้ทรัพย์จำนองยึดแล้วแต่ยังไม่ขาย โจทก์จึงขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มไม่ได้ ให้ยกคำร้อง โจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษารวมเงินต้นและดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องถึงขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องเป็นจำนวน 111,498,604.61 บาท แต่โจทก์มีทรัพย์จำนองซึ่งถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายได้ตามราคาที่ประเมินขณะยึดเป็นเงิน 44,440,000 บาท (ที่ถูก 44,240,000 บาท) เห็นได้ว่าไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดไม้ซุงที่จำนำไว้แก่โจทก์และดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของโจทก์แล้ว มีคำสั่งว่า ให้โจทก์ดำเนินการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์จำนองตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 ก่อน ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้จึงให้ยึดไม้ซุงออกขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาต่อไป ความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบแล้ว ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยึดไม้ซุงจำนวน 4,718 ท่อนของจำเลยที่ 1 ไว้ ดำเนินการบังคับคดีต่อไป
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามคำร้องของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะให้ฟังได้ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองจะขายทอดตลาดได้ราคาไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ ประกอบกับตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 จำเลยทั้งสามกับโจทก์ตกลงกันให้โจทก์ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองออกขายทอดตลาดก่อนถ้าไม่พอจึงให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ จึงเห็นว่าคดีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไม้ซุงจำนวน 4,718 ท่อน ของจำเลยที่ 1 เพิ่มขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ดังคำร้องของโจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์

Share