แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัว ค.ผู้ต้องหาจำนวน 40,000 บาท และเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัวฉ. ผู้ต้องหาจำนวน 40,000 บาท โดยโจทก์ฟ้องรวมมาในฟ้องฉบับเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัว ค. จำนวน 40,000 บาท และตามสัญญาประกันตัวฉ. จำนวน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัว ค.จำนวน 20,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าปรับเต็มจำนวนตามที่ระบุไว้ในสัญญาประกันตัว ค. และจำเลยฎีกาขอให้ลดค่าปรับแก่จำเลยซึ่งเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ในคดีต้องถือตามจำนวนเงินในสัญญาประกันแต่ละฉบับ คือฉบับละ40,000 บาทเพราะค่าปรับตามสัญญาประกันเป็นคนละรายแบ่งแยกรับผิดเป็นส่วนสัดกัน เมื่อทุนทรัพย์แต่ละรายไม่เกินห้าหมื่นบาทฎีกาของโจทก์และจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2529 เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมนายคำภา พันธ์พงษ์ และนายเฉลิมพล นาเมือง มามอบให้พนักงานสอบสวนซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองอยู่ในความควบคุมของโจทก์จนกว่าจะเสร็จคดี จำเลยได้ทำสัญญาประกันให้ไว้แก่โจทก์ ขอประกันตัวนายคำภา พันธ์พงษ์ และนายเฉลิมพล นาเมือง เป็นจำนวนเงินคนละ 40,000 บาท โจทก์จึงปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปชั่วคราวในวันเดียวกันต่อมาจำเลยไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัดอันเป็นการผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน80,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อครบกำหนดส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสอง จำเลยไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองได้จึงขอเลื่อนการส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองหลายครั้ง ซึ่งโจทก์ก็ยินยอม ต่อมาปี 2530 จำเลยได้นำตัวนายเฉลิมพลมามอบให้แก่โจทก์ ส่วนนายคำภา จำเลยได้นำเจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการจับกุม และผู้ต้องหาทั้งสองได้ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจนพ้นโทษไปแล้ว ความเสียหายของโจทก์จึงไม่มี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 บัญญัติว่า “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ฯลฯ” สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัวนายคำภา พันธ์พงษ์ ผู้ต้องหาจำนวน40,000 บาท ตามสัญญาประกันเอกสารหมาย ป.จ.1 และโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินค่าปรับตามสัญญาประกันตัวนายเฉลิมพล นาเมืองผู้ต้องหาจำนวน 40,000 บาท ตามสัญญาประกันเอกสารหมาย ป.จ.2โดยโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินดังกล่าวรวมมาในฟ้องฉบับเดียวกันศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าปรับตามสัญญาประกันเอกสารหมายป.จ.1 จำนวน 40,000 บาท และให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาประกันเอกสารหมาย ป.จ.2 จำนวน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าปรับตามสัญญาประกันเอกสารหมาย ป.จ.1 จำนวน 20,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ดังกล่าวเป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าปรับเต็มจำนวนตามที่ระบุไว้ในสัญญาประกันเอกสารหมาย ป.จ.1 และจำเลยฎีกาขอให้ลดค่าปรับแก่จำเลยซึ่งเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ในคดีนี้ต้องถือตามจำนวนเงินในสัญญาประกันเอกสารหมายป.จ.1 และ ป.จ.2 แต่ละฉบับ คือฉบับละ 40,000 บาท เพราะค่าปรับตามสัญญาประกันเอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2 เป็นคนละรายแบ่งแยกรับผิดเป็นส่วนสัดกัน เมื่อทุนทรัพย์แต่ละรายไม่เกินห้าหมื่นบาทเช่นนี้ ฎีกาของโจทก์และจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาโจทก์จำเลย