แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถของโจทก์ถูกรถของจำเลยชนโดยประมาทพังขวางอยู่กลางถนนแล้วถูกรถของบุคคลอื่นชนซ้ำโดยไม่ใช่ความประมาทของบุคคลนั้น แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นก็เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทของฝ่ายจำเลยเป็นผู้ก่อขึ้นก่อน ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดในผลอันนี้ด้วย
สำนวนแรกโจทก์มิได้ฟ้องผู้รับประกันภัยเป็นจำเลย คงฟ้องแต่ผู้อื่น เมื่อผู้รับประกันภัยเข้ามาเป็นโจทก์ในสำนวนที่สองโดยอ้างว่าเป็นผู้รับช่วงสิทธิในฐานะผู้รับประกันภัยฟ้องจำเลยอื่นและโจทก์ในสำนวนแรกให้ร่วมรับผิดอันเนื่องจากเหตุรถชนรายเดียวกัน โจทก์ในสำนวนแรกจึงมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากผู้รับประกันภัยซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนที่สองได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน
โจทก์ที่ 2 เป็นจำเลยตามฟ้องแย้งในสำนวนที่สองของโจทก์ที่ 1 ส่วนจำเลยเป็นจำเลยตามฟ้องสำนวนแรกของโจทก์ที่ 1 แม้จะเป็นค่าเสียหายรายเดียวกันแต่เป็นคนละคดี ต้องเสียค่าขึ้นศาลต่างหากจากกัน เมื่อโจทก์ที่ 2 และจำเลยแพ้คดีและฎีกาต่อมาจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายคดี การที่ฎีการ่วมกันมาไม่ทำให้หน้าที่ที่จะต้องเสีย ค่าขึ้นศาลลดน้อยลง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดเป็นการเกินคำขอ เพราะโจทก์ขอเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2522 ศาลฎีกาควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันสำนวนแรกโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การต่อสู้คดีอ้างว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของฝ่ายโจทก์เอง และบริษัทพิพัทธ์ประกันภัย จำกัดซึ่งรับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไว้ได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่ง (สำนวนที่สอง) และโจทก์ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากบริษัทพิพัทธ์ประกันภัย จำกัด อยู่แล้ว จึงไม่ชอบที่จะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา ส่วนสำนวนหลังบริษัทพิพัทธ์ประกันภัย จำกัด ฟ้องโจทก์ในสำนวนแรกเป็นจำเลย โดยอ้างการรับช่วงสิทธิในฐานะผู้รับประกันซึ่งได้จ่ายค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๒ที่ ๓ ในสำนวนแรกไปและโจทก์ในสำนวนแรกจะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิด โจทก์ในสำนวนแรกให้การปฏิเสธความรับผิด และฟ้องแย้งให้บริษัทพิพัทธ์ประกันภัย จำกัด ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนที่สองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ในสำนวนที่สองให้การแก้ฟ้องแย้งโดยขอให้ยกฟ้องแย้งศาลชั้นต้นให้เรียกโจทก์สำนวนแรกและจำเลยในสำนวนที่ ๒ ว่าโจทก์ที่ ๑ให้เรียกโจทก์ในสำนวนที่สองว่าโจทก์ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิด ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ และยกฟ้องของโจทก์ที่ ๒ ให้โจทก์ที่ ๒ ร่วมกันจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ชำระค่าเสียหายตามฟ้องแย้งให้แก่โจทก์ที่ ๑ ในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ที่ ๒ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกาว่ารถของโจทก์ที่ ๑ ถูกรถของจำเลยที่ ๔, ๕, ๖ ชนซ้ำทำให้เสียหายมากขึ้นนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหตุครั้งแรกเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขับรถยนต์บรรทุกชนรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ พังขวางอยู่กลางถนนการที่จำเลยที่ ๔ ขับรถเก๋งของจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ มาชนซ้ำนั้นศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๔ มิได้ประมาท แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นก็เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทของรถยนต์ฝ่ายจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้ก่อขึ้นก่อน ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และโจทก์ที่ ๒จึงต้องรับผิดในผลอันนี้ด้วย
ที่โจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาว่า ฟ้องแย้งของโจทก์ที่ ๑ ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๕๒/๒๕๒๓ ของศาลจังหวัดนครราชสีมา เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๔๘/๒๕๒๒ ของศาลจังหวัดนครราชสีมานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๗๔๘/๒๕๒๒ โจทก์ที่ ๑ มิได้ฟ้องโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยเป็นจำเลย คงฟ้องแต่ผู้อื่น เมื่อโจทก์ที่ ๒ เข้ามาเป็นโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๕๕๒/๒๕๒๓ โดยอ้างว่าเป็นผู้รับช่วงสิทธิในฐานะผู้รับประกันภัยฟ้องจำเลยอื่น ๆ และโจทก์ที่ ๑ ให้ร่วมรับผิดอันเนื่องจากเหตุรถชนรายเดียวกันโจทก์ที่ ๑ จึงมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่ ๒ ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน
สำหรับประเด็นเรื่องค่าขึ้นศาลที่โจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาว่าศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกายังไม่ถูกต้องนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นจำเลยตามฟ้องแย้งในสำนวนที่สองของโจทก์ที่ ๑ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นจำเลยตามฟ้องสำนวนแรกของโจทก์ที่ ๑ แม้จะเป็นค่าเสียหายรายเดียวกันแต่เป็นคนละคดี ต้องเสียค่าขึ้นศาลต่างหากจากกัน เมื่อโจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แพ้คดีและฎีกาต่อมาจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายคดีการที่โจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีการ่วมกันมาไม่ทำให้หน้าที่ที่จะต้องเสียค่าขึ้นศาลลดน้อยลง
อนึ่งปรากฏว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ที่ ๓ ชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑นับแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ อันเป็นวันละเมิดนั้น เป็นการเกินคำขอ เพราะโจทก์ที่ ๑ ขอเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๒ และมิได้กำหนดให้โจทก์ที่ ๒ ร่วมรับผิดในการชำระดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งโจทก์ที่ ๑ ขอให้นับแต่วันฟ้องแย้ง ฉะนั้นจึงเห็นควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๑ นับแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม๒๕๒๒ และให้โจทก์ที่ ๒ ร่วมรับผิดในการชำระค่าดอกเบี้ยนับแต่วันที่๒๕ มกราคม ๒๕๒๓ (วันฟ้องแย้ง) เป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์