แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ความผิดต่อร่างกาย
++ คดีแดงที่ 3003-3004/2543
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 6 หน้า 116 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5
++
++ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างได้แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลล่างทั้งสองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้เก้าอี้และใช้ของแข็งตีทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 ถูกบริเวณร่างกายทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างไรบ้าง เช่นนี้ เพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
บทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 213 ต้องเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในคดีนี้จะพิพากษายกฟ้องจำเลยคนหนึ่งซึ่งอุทธรณ์หรือฎีกาเพียงผู้เดียว ใช้อำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้อุทธรณ์หรือฎีกามิให้ต้องถูกรับโทษเช่นเดียวกับจำเลยผู้อุทธรณ์หรือฎีกา
แต่การที่ผู้ร่วมกระทำผิดถูกแยกฟ้องเป็นหลายคดี การที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกระทำผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นรายๆ ไปเฉพาะคดีนั้นๆ ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงจำเลยแต่ละคดีมากน้อยต่างกันได้ คดีที่พยานโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอก็ลงโทษไป คดีที่พยานโจทก์มีน้ำหนักเบาบางก็ต้องยกฟ้องตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายคดี
ย่อยาว
จำเลยทั้งสอง ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ลงวันที่ ๓๐ เดือน สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
ศาลฎีกา รับวันที่ ๓ เดือน มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ ๑ และเรียกจำเลยสำนวนหลังว่าจำเลยที่ ๒
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ ๒มีนาคม ๒๕๓๗ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกหลายคนได้ร่วมกันใช้เก้าอี้จำนวนหลายตัว และใช้ของแข็งไม่ทราบชนิดและขนาดแน่นอนตีทำร้ายร่างกายจ่าสิบเอกพิทักษ์ ช่างดวงจิตต์ ผู้เสียหายที่ ๑และนายไวพจน์ คงพันธ์ ผู้เสียหายที่ ๒ ถูกที่บริเวณร่างกายคนละหลายครั้งเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ ๑ ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณร่างกายหลายแห่งถึงสาหัสหูหนวก เสียฆานประสาท และทุพพลภาพ ป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต และผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้าเป็นอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่ตำบลดอนกรวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๒๙๗
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาจ่าสิบเอกพิทักษ์ ช่างดวงจิตต์ ผู้เสียหายที่ ๑ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (๑)(๗), ๘๓ ให้จำคุกคนละ ๖ ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๗ เวลาประมาณ๒๐ นาฬิกา โจทก์ร่วมกับสิบเอกยุทธ ทิมพิทักษ์ ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านคลาสสิกเฮ้าส์ ซึ่งเป็นร้านที่เกิดเหตุ ในระหว่างที่นั่งดื่มสุราและรับประทานอาหารอยู่นั้น สิบเอกยุทธได้แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักนายสมควรศรีคำนวน ต่อมาเวลาประมาณ ๒๔ นาฬิกา สิบเอกยุทธจ่ายเงินค่าสุราอาหารโจทก์ร่วมเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อโจทก์ร่วมเดินออกมาจากห้องน้ำไม่พบสิบเอกยุทธ คงพบนายสมควรยืนทะเลาะอยู่กับชาย ๕ คนภายในบริเวณร้านโจทก์ร่วมจึงเข้าไปห้ามนายสมควรและชายเหล่านั้น จำเลยทั้งสองเป็นชาย ๒ คนในจำนวน ๕ คน โจทก์ร่วมสามารถมองเห็นหน้าและจำหน้าได้ในระยะประมาณ ๒ วา เพราะมีแสงสว่างสลัว ๆ จากหลอดไฟฟ้าของร้านอหารที่เปิดอยู่ ในขณะที่โจทก์ร่วมเข้าไปห้ามจำเลยทั้งสองกับพวกและนายสมควรโจทก์ร่วมอยู่ห่างจากจำเลยทั้งสองกับพวกประมาณ ๒ เมตร หลังจากนั้นโจทก์ร่วมพานายสมควรเดินกลับมานั่งที่โต๊ะของพลทหารรณฤทธิ์ มีผล ซึ่งเป็นเพื่อนของสิบเอกยุทธ ในขณะนั้นผู้เสียหายที่ ๒ นั่งอยู่กับพลทหารรณฤทธิ์แล้วต่อมาจำเลยที่ ๑ กับชายอีก ๓ คนคนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่านายถนอมได้มาที่โต๊ะของพลทหารรณฤทธิ์และได้มีการพูดคุยกัน แล้วนายถนอมใช้ขวดตีที่ศีรษะด้านหลังของโจทก์ร่วม ๑ ครั้ง จำเลยที่ ๑ ใช้ขวดตีที่ศีรษะโจทก์ร่วม๑ ครั้ง แล้วมีคนลากโจทก์ร่วมออกไปที่หลังร้านอาหารที่เกิดเหตุ แล้วโจทก์ร่วมถูกชายหลายคนรุมทำร้าย จำเลยที่ ๒ ใช้อิฐบล็อกก้อนหนึ่งจะทุ่มลงที่ศีรษะของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมขอร้องจำเลยที่ ๒ ไม่ให้ทุ่ม แต่จำเลยที่ ๒ ก็ยังทุ่มอิฐบล็อกลงมา โจทก์ร่วมใช้มือรับอิฐบล็อกไว้ อิฐบล็อกจึงถูกที่มือขวาของโจทก์ร่วมจนนิ้วหัวแม่มือข้างขวาหักแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกได้ทำร้ายโจทก์ร่วมจนสลบไป และขณะนี้นิ้วดังกล่าวก็คดงอ โจทก์ร่วมมีบาดแผลที่ใบหน้า ๒ แห่ง ที่ศีรษะ ๑ แห่ง ศีรษะบวม นิ้วหัวแม่มือขวาหักโจทก์ร่วมพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลดำเนินสะดวก ๑ วัน โรงพยาบาลราชบุรี๑ วัน โรงพยาบาลพร้อมแพทย์ ๔ วัน โรงพยาบาลสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม๖ วัน และที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอีก ๑ เดือนเศษ จึงกลับบ้านได้ผลจากการถูกทำร้ายทำให้หูข้างซ้ายของโจทก์ร่วมไม่ได้ยินเสียง ส่วนผู้เสียหายที่ ๒ ถูกจำเลยที่ ๑ กับพวกชกต่อย เตะ ได้รับบาดเจ็บดั้งจมูกหักต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้ โดยจับจำเลยที่ ๑ ได้วันที่๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๗ และจำเลยที่ ๒ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ และโจทก์ร่วมสามารถชี้ตัวจำเลยทั้งสองได้ถูกต้องตามบันทึกการชี้ตัวและภาพถ่ายหมาย จ.๕ และ จ.๖ ส่วนผู้เสียหายที่ ๒ ชี้ตัวจำเลยที่ ๑ ยืนยันว่าเป็นคนชกต่อยเตะผู้เสียหายที่ ๒ ตามบันทึกการชี้ตัวและภาพถ่ายเอกสารหมาย ป.จ.๒ มารดาของจำเลยที่ ๒ และพี่ชายของจำเลยที่ ๑เคยเจรจาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วม แต่ตกลงกันไม่ได้ปรากฏตามบันทึกเอกสารหมาย จ.๗ ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหากับจำเลยทั้งสองว่าร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสจำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมายป.จ.๓ และมีการถ่ายรูปประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกและภาพถ่ายหมาย ป.จ.๔ จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกาจำเลยที่ ๑ กับนายหนึ่งไปที่ร้านที่เกิดเหตุไปนั่งร่วมโต๊ะกับจำเลยที่ ๒กับเพื่อนอีก ๓ ถึง ๔ คนซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว นั่งอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมงมีคน ๗ ถึง ๘ คน ชกกันที่หน้าร้านที่เกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ จึงเดินมาดูเหตุการณ์ ผู้เสียหายที่ ๒ นำขวดใบหนึ่งจะตีศีรษะจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑จึงต่อยและเตะผู้เสียหายที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๑ กลับบ้าน จำเลยที่ ๑ไม่เห็นโจทก์ร่วมอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำร้ายโจทก์ร่วมในชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๑ ให้การยอมรับว่าจำเลยที่ ๑ ต่อยกับผู้เสียหายที่ ๒และได้มีการนำชี้ที่เกิดเหตุและเจ้าพนักงานตำรวจได้ถ่ายรูปของจำเลยที่ ๑ปรากฏตามภาพถ่ายหมาย ป.จ.๔ ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้น ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ไม่ได้อยู่ที่ร้านที่เกิดเหตุโดยจำเลยที่ ๒ ไปส่งนางสาวหน่อยที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวก จำเลยที่ ๒ พานางสาวหน่อยกลับมาที่ร้านที่เกิดเหตุอีกครั้งหนึ่งก็ทราบจากคนในร้านว่าเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกัน แต่ในขณะนั้นคนเจ็บถูกพาตัวออกไปแล้ว จำเลยที่ ๒ ไม่พบโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ ๒ ในคืนเกิดเหตุ
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง คนร้ายหลายคนร่วมกันใช้ของแข็งตีทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บที่สมองด้านหน้าข้างขวาฟกช้ำมีเลือดออกกระโหลกศีรษะด้านหน้าแตกทั้งข้างขวาและซ้าย กระดูกเบ้าตาข้างขวาแตกใช้เวลารักษาตัวประมาณ ๑๒ สัปดาห์ และจำเลยที่ ๑ ชกต่อยเตะผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บดั้งจมูกหัก ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมเบิกความว่า วันเกิดเหตุสิบเอกยุทธทิมพิทักษ์ ชวนโจทก์ร่วมไปกินอาหารที่ร้านที่เกิดเหตุ และได้แนะนำให้โจทก์ร่วมรู้จักกับนายสมควร ศรีคำนวน ซึ่งนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ครั้นถึงเวลา๒๔ นาฬิกา สิบเอกยุทธจ่ายเงินค่าอาหารแล้วกลับไป โจทก์ร่วมเข้าห้องน้ำออกมาพบนายสมควรยืนทะเลาะกับจำเลยทั้งสองกับพวกรวม ๕ คน โจทก์ร่วมพานายสมควรกลับมานั่งที่โต๊ะของพลทหารรณฤทธิ์ โดยมีผู้เสียหายที่ ๒นั่งอยู่ด้วย จากนั้นจำเลยที่ ๑ กับชายอีก ๓ คน ทราบชื่อภายหลังคนหนึ่งคือนายถนอม เดินมาที่โต๊ะของพลทหารรณฤทธิ์มีการพูดคุยกัน แล้วนายถนอมใช้ขวดตีศีรษะโจทก์ร่วมที่ด้านหลัง ๑ ครั้ง จำเลยที่ ๑ ใช้ขวดตีศีรษะโจทก์ร่วมและมีคนลากโจทก์ร่วมออกไปหลังร้านอาหาร ชายหลายคนรุมทำร้ายโจทก์ร่วม จำเลยที่ ๒ ใช้อิฐบล็อกจะทุ่มลงไปที่ศีรษะของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมร้องขอไม่ให้ทำ แต่จำเลยที่ ๒ ทุ่มอิฐบล็อกลงมาโจทก์ร่วมยกมือรับ และถูกรุมทำร้ายจนสลบไป และพลทหารรณฤทธิ์ มีผลพยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งเบิกความยืนยันว่า เมื่อสิบเอกยุทธกลับบ้านไปแล้ว โจทก์ร่วมกับนายสมควรมานั่งที่โต๊ะของพยาน นายสมควรไปมีเรื่องวิวาทกับกลุ่มชายที่นั่งโต๊ะอื่น โจทก์ร่วมพานายสมควรกลับมานั่งที่โต๊ะชายกลุ่มนั้นมี ๔ ถึง ๕ คน มาที่โต๊ะของพยานใช้ขวดตีโจทก์ร่วมกับนายสมควรจำเลยทั้งสองใช้ขวดตีโจทก์ร่วมจนขวดแตกโจทก์ร่วมล้มลงกับพื้น เห็นว่าภายในร้านที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าหลอดกลมแสงนวลมีสุ่มเล็ก ๆครอบไว้ติดอยู่หลายแห่งสามารถมองเห็นใบหน้าคนได้ชัดในระยะประมาณ๓ เมตร ตามที่นายสิงห์ สุขชีพวรนันท์ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุและไม่ได้เป็นพวกของฝ่ายโจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองเบิกความยืนยันไว้ ดังนั้น ตอนที่โจทก์ร่วมเข้าไปดึงตัวนายสมควรกลับมาขณะที่วิวาทกับจำเลยทั้งสองกับพวก และตอนที่จำเลยทั้งสองกับพวกเข้ามาพูดคุยที่โต๊ะของพลทหารรณฤทธิ์ ที่มีโจทก์ร่วมนั่งอยู่ด้วยก่อนที่จะมีการลงมือทำร้ายกันเกิดขึ้น โจทก์ร่วมและพลทหารรณฤทธิ์จึงมีโอกาสเห็นหน้าจำเลยทั้งสองในระยะใกล้ชิดซึ่งพลทหารรณฤทธิ์รู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน เชื่อว่าจดจำจำเลยทั้งสองได้ ประกอบกับโจทก์ร่วมและพลทหารรณฤทธิ์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยทั้งสองโดยเฉพาะจำเลยที่ ๑ นั้น ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๑ ได้ให้การรับสารภาพว่า ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.๑๓ และบันทึกคำให้การพร้อมบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย ป.จ.๓และ ป.จ.๔ นอกจากนั้นแล้วหลังจากเกิดเหตุในระหว่างการสอบสวนนายจรัญ ป้านแก้ว พี่ชายของจำเลยที่ ๑ และนางสมร หวิงปัด มารดาของจำเลยที่ ๒ ได้เจรจาขอชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม แต่ตกลงกันไม่ได้โดยเสนอชดใช้เงิน ๒๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ร่วมเรียก ๓๕๐,๐๐๐ บาท ตามบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.๗ ด้วย ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ได้ร่วมกันกระทำผิดจริงแล้วพี่ชายของจำเลยที่ ๑ และมารดาของจำเลยที่ ๒ ก็คงไม่ไปเจรจาขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมดังกล่าว ที่จำเลยที่ ๑ นำสืบอ้างว่า จำเลยที่ ๑ มีเรื่องชกต่อยกับจำเลยที่ ๒ เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ ๒นำสืบว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ไม่ได้อยู่ในร้านที่เกิดเหตุนั้นก็คงมีแต่ตัวจำเลยทั้งสองเบิกความกล่าวอ้างเองลอย ๆ ไม่มีพยานอื่นสนับสนุนจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาฟังได้แน่ชัดปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกกระทำผิดตามฟ้องจริง ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้นั้น เห็นว่าศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยทั้งสองเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ลดโทษให้จำเลยที่ ๑ ในกรณีที่จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จำเลยที่ ๑ สมควรได้รับความปรานีลดโทษจำคุกให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘
สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสอง ข้อที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาอ้างว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่า เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ ๑ ยกขึ้นอ้างได้ แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้เก้าอี้และใช้ของแข็งตีทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ ๒ ถูกบริเวณร่างกายทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างไรบ้าง เช่นนี้ เพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่จำต้องบรรยายฟ้องโดยละเอียดดังที่จำเลยที่ ๑ ฎีกา เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ส่วนข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาอ้างว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ได้พิพากษายกฟ้องคดีที่นายถนอม ต่วนแสง เป็นจำเลยซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร่วมกับจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นเหตุลักษณะคดี ขอให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๓ ด้วยนั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งมาตราดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในคดีนี้จะพิพากษายกฟ้องจำเลยคนหนึ่งซึ่งอุทธรณ์หรือฎีกาเพียงผู้เดียว ใช้อำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้อุทธรณ์หรือฎีกา มิให้ต้องถูกรับโทษเช่นเดียวกับจำเลยผู้อุทธรณ์หรือฎีกาแต่การที่ผู้ร่วมกระทำผิดถูกแยกฟ้องเป็นหลายคดีเช่นนี้ การที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกระทำผิดได้หรือไม่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นราย ๆ ไปเฉพาะคดีนั้น ๆ ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงจำเลยแต่ละคดีมากน้อยต่างกันได้ คดีที่พยานโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอก็ลงโทษไป คดีที่พยานโจทก์มีน้ำหนักเบาบางก็ต้องยกฟ้องตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายคดี ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยที่ ๑ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗.