คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวขัดแย้งกันในตัวโดยบรรยายฟ้องข้อ 1 ยืนยันว่าจำเลยลักทรัพย์โจทก์ แต่ในข้อ 2 กลับกล่าวแถมว่าจำเลยทำผิดฐานรับของโจรมิหนำซ้ำยังเพิ่มความในวงเล็บอันทำให้เข้าใจไปได้ว่าทรัพย์เหล่านั้นได้หายมาก่อนวันตามฟ้องข้อ 1 ดังนี้เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่อาจทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องบรรยายความว่า

“ข้อ 1. ระหว่างวันที่ 19 ก.ค. 95 ถึง วันที่ 20 เดือนเดียวกันเวลากลางคืนจำเลยได้สมคบกันลักกระดานไม้เคี่ยมของโจทก์ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลารวม 39 แผ่น ราคา 7,890 บาท เหตุเกิดที่ตำบลบ่อยางอำเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ข้อ 2. ครั้นวันที่ 22 ก.ค. 95 เวลากลางวันจับไม้ของกลางได้จากจำเลยทั้งเจ็ดรวมไม้ 40 แผ่น (ก่อนเกิดเหตุในข้อ 1 ได้มีคนร้ายลักกระดานไม้เคี่ยมของโจทก์ไปครั้งหนึ่งแล้ว) ทั้งนี้โดยจำเลยลักไม้กระดานของโจทก์ไปตามวันเวลาในข้อ 1 หรือจำเลยนี้รับเอาไม้ของกลางไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นไม้ที่ถูกลักมาอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายเหตุข้อนี้เกิดที่ตำบลหัวเขา อำเภอเมืองจังหวัดสงขลา ฯลฯ” ขอให้ลงโทษ

จำเลยทั้งหมดปฏิเสธ

ศาลจังหวัดสงขลาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องขัดกันเองในตัวเป็นฟ้องเคลือบคลุม ทำให้จำเลยเสียเปรียบตามคำพิพากษาฎีกาที่ 722/2481และที่ 1914/2494 ทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบก็ไม่สม พิพากษายกฟ้องโจทก์ ของกลางคืนเจ้าของ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นในข้อกฎหมายว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์กล่าวขัดแย้งกันในตัวโดยบรรยายฟ้องข้อ 1 ยืนยันว่าจำเลยบังอาจลักทรัพย์ของโจทก์ แต่ในข้อ 2 กลับกล่าวแถมว่าจำเลยทำผิดฐานรับของโจร มิหนำซ้ำความในวงเล็บทำให้เข้าใจไปได้ว่าทรัพย์เหล่านั้นได้หายมาก่อนวันตามฟ้องข้อ 1 เสียอีก จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่อาจทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share