แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นสมาชิกเทศบาล ทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเกี่ยวกับเรื่องที่ภริยาของโจกท์ (โจทก์ เป็นปลัดเทศบาล) ตั้งเบิกจ่ายค่าพาหนะเดินทางย้ายว่า “การเบิกจ่ายที่ผ่านไปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงหรือการทุจริตนี้วิญญูชนก็ต้องเข้าใจว่า คงกระทำไปด้วยความแนะนำรู้เห็นเป็นใจของโจทก์ผู้สามีอย่างแน่นอน เพราะต่างก็ทำงานร่วมกันและอยู่ในบ้านพักเดียวกัน การกระทำดังกล่าวนี้เป็นการผิดกฎหมายและวินัยของราชการอย่างร้ายแรง” และ “แทนที่โจทก์จะปฏิบัติหน้าที่และวางตนให้สมกับตำแหน่ง โจทก์กลับจะกลายมาเป็นผู้แสวงหาประโยชน์จากเทศบาลโดยวิธีที่ไม่ชอบ ทั้งมีความประพฤติส่วนตัวที่ไม่สมควรมากมายหลายอย่าง จนพนักงานเทศบาลและประชาชนขาดความเคารพนับถือ สำหรับความประพฤติส่วนตัวที่เลวร้ายของโจทก์นั้นจำเลยจะยังไม่ขอกล่าวในโอกาสนี้” ดังนี้ ข้อความที่กล่าวว่าโจทก์มีความประพฤติเลวร้ายแต่มิได้กล่าวว่าเลวร้ายอย่างใดนั้น ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า การกระทำที่เป็นทุจริตอย่างจำเลยกล่าวหาโจทก์ เป็นความประพฤติที่เลวร้ายได้ และเมื่อปรากฏว่าคำร้องเรียนของจำเลยเป็นความจริง จำเลยก็ไม่ต้องรับโทษเพราะได้รับความยกเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 330.
ย่อยาว
โจทกฟ้องว่า โจทก์รับราชการตำแหน่งปลัดเทศบาลเมืองภูเก็ต จำเลยเป็นสมาชิกเทศบาลเมืองภูเก็ต เมื่อ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ จำเลยได้ทำหนังสือร้องเรียนเท็จยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต โดยกล่าวใส่ความนางนพคุณรัชทินพันธ์ ภรรยาโจทก์ ซึ่งเดิมรับราชการเป็นพนักงานเทศบาลเมืองสุรินทร์ ได้ย้ายมารัชราชการทางเทศบาลเมืองภูเก็ต นางนพคุณได้เดินทางมาคนเดียว ได้ทราบว่าตั้งเบิกจ่ายค่าพาหนะถึง ๕ คน ทำให้เทศบาลสิ้นเปลืองเงินไปอีกเป็นจำนวนมาก และบังอาจใช้ถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ว่า “การเบิกจ่ายที่ผ่านไปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง หรือการทุจริตนี้วิญญูชนก็ต้องเข้าใจว่า คงกระทำไปด้วยความแนะนำรู้เห็นเป็นใจของนายแสวงผู้สามีอย่างแน่นอน เพราะต่างก็ทำงานร่วมกันอยู่ และอยู่ในบ้านพักเดียวกัน การกระทำดังกล่าวนี้เป็นการผิดกฎหมายและวินัยของราชการอย่างร้ายแรง” หนังสือคำร้องเรียนของจำเลยหามีความจริงไม่
นอกจากนี้ จำเลยยังบังอาจกล่าวเท็จใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ต่อไปว่า “แทนที่นายแสวงจะปฏิบัติหน้าที่และวางตนให้สมกับตำแหน่ง นายแสวงกลับจะกลายมาเป็นผู้แสวงหาประโยชน์จากเทศบาลโดยวิธีที่ไม่ชอบ ทั้งมีความประพฤติส่วนตัวที่ไม่สมควรมากมายหลายอย่าง จนพนักงานเทศบาลและประชาชนขาดความเคารพนับถือ สำหรับความประพฤติส่วนที่เลวร้ายของนายแสวงนั้น ข้าพเจ้าจะยังไม่ขอกล่าวในโอกาสนี้” โจทก์ได้รับความเสียหายโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เหตุเกิดตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ และ ๓๓๒(๒)
จำเลยให้การว่า ได้ทำหนังสือร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดจริง แต่ข้อความที่ร้องเรียนเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จ และทำในฐานะสมาชิกเทศบาลและประชาชน เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ด้วยความเป็นธรรม ไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙, ๓๓๐ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยนำสืบเชื่อได้ว่า ที่จำเลยร้องเรียนตามเอกสารหมาย จ. ๑ นั้น เป็นความจริงสมข้อต่อสู้ จำเลยจึงไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ และได้รับยกเว้นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๐ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยความมีความผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อที่จำเลยกล่าวหานางนพคุณและโจทก์เรื่องเบิกเงินค่าพาหนะเดินทางเกินความจริงโดยทุจริตนั้น ตามรูปคดีมีเหตุผลที่จะให้จำเลยเชื่อว่าการเบิกจ่ายไม่สุจริต ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาร้ายแกล้งใส่ความโจทก์ จำเลยจึงไม่ผิดในข้อนี้ ศาลชั้นต้นชี้ขาดข้อนี้ชอบแล้ว
ส่วนข้อความในคำร้องเรียนกล่าวถึงความประพฤติส่วนตัวของโจทก์นั้นจำเลยไม่ระบุลงไปว่าโจทก์มีความประพฤติส่วนตัวไม่สมควรเลวร้ายอย่างใดพอที่จะให้ผู้อื่นทราบได้ว่าจะเท็จจริงอย่างไร และไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องกล่าวเช่นนั้น ทั้งไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะกล่าว จึงเห็นชัดว่า เป็นการกล่าวโดยไม่สุจริต จำเลยต้องมีผิด พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๖ ปรับ ๒๐๐ บาท
จำเลยฎีกาว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนผู้เป็นสมาชิก และราษฎรในเขตเทศบาลเมืองภูเก็ตตามครองธรรม ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๙ และ ๓๓๐ จำเลยจึงไม่มีความผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว โจทก์สืบฟังได้ว่า จำเลยได้ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ให้ปลัดจังหวัดอ่านด้วย จึงฟังได้ว่าบุคคลที่สามได้ทราบข้อความในเอกสาร จ. ๑ แล้ว ข้อวินิจฉัยต่อไปมีว่า ข้อความใน จ.๑ มีเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จุดประสงค์ที่จำเลยมุ่งเป็นสารสำคัญในการทำหนังสือร้องเรียนนี้ขึ้นก็เพื่อจะกล่าวหาว่าโจทก์สมคบกับนางนพคุณเบิกเงินค่าพาหนะเดินทางเกินจากความเป็นจริง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ส่วนข้อความในตอนต้นที่กล่าวว่าโจทก์มีความประพฤติเลวร้ายก็มิได้กล่าวว่าเลวร้ายอย่างใดแต่ก็น่าจะเข้าใจได้ว่าการกระทำที่เป็นทุจริตอย่างจำเลยกล่าวหาโจทก์มานี้ก็เป็นความประพฤติที่เลวร้ายได้เหมือนกัน ซึ่งถ้าข้อกล่าวหาเช่นนี้เป็นการกล่าวเท็จ ก็ไม่มีปัญหา ย่อมฟังได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ปลัดเทศบาล เพราะจะทำให้คนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ได้ ในทางตรงกันข้าม หากการกระทำของโจทก์เป็นความจริงดังจำเลยร้องเรียน จำเลยก็มีสิทธิที่จะร้องเรียนกล่าวโทษโจทก์ได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า จำเลยแกล้งร้องเรียนเท็จหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำพยานโจทก์จำเลยแล้ว
น่าเชื่อเป็นความจริงว่า นางนพคุณได้เดินทางไปภูเก็ตคนเดียว ไม่ใช่ ๕ คน ดังที่นางนพคุณตั้งฎีกาเบิกเงินค่าพาหนะ คำร้องเรียนของจำเลยตามเอกสาร จ.๑ จึงฟังได้เป็นความจริงดังจำเลยต่อสู้ จำเลยจึงไม่มีความผิดดังโจทก์ฟ้อง เพราะได้รับยกเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๐
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์