คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่า ม.กับพวกร่วมกันบุกรุกที่ดินของจำเลยความจริงเป็นที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่ง จึงเห็นได้ว่าผู้เสียหายในคดีที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จคือ ม. หาใช่โจทก์ไม่ และความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์อาจแพ้คดีแพ่งตามผลคดีอาญาที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็ได้นั้น ก็ไม่ใช่ความเสียหายที่ทำให้โจทก์กลายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแจ้งความเท็จ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ลงโทษฐานแจ้งความเท็จ ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหายให้ยกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 อนุมาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5และ 6 เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่านายโหมด ภูมิโคกรักษ์ กับพวกร่วมกันบุกรุกที่ดินของจำเลย ความจริงเป็นที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลย การแจ้งเท็จของจำเลยดังกล่าวอาจทำให้โจทก์เสียหาย ดังนั้น ผู้เสียหายในคดีที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็คือนายโหมด โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย เพราะจำเลยมิได้แจ้งว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายพิเศษโดยตรงตามกฎหมายเพราะโจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่ง ซึ่งโจทก์อาจแพ้คดีแพ่งตามผลคดีอาญาที่จำเลยไปแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็ได้นั้นเห็นว่าความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา ไม่ใช่ความเสียหายที่ทำให้โจทก์กลายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายอันจะทำให้มีอำนาจฟ้องขึ้นมาได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share