แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 467เป็นกรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อแล้วปรากฏต่อมาว่าทรัพย์สินนั้นขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวน การเรียกร้องให้ผู้ขายรับผิดจึงจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรานี้ แต่กรณีที่ผู้ซื้อขอให้ผู้ขายชำระเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาไม่ส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อภายในกำหนดเวลาตามสัญญาซื้อขายและให้ผู้ขายรับผิดในราคาสินค้าที่ผู้ซื้อต้องไปซื้อชดเชยจากบุคคลอื่นในจำนวนที่เพิ่มขึ้น นั้นไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือ มีกำหนด 10 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายยางแอสฟัลท์รวม 2 ฉบับ จำนวน 1,334 ตัน ราคา 8,517,450 บาท และจำนวน624.5 ตัน ราคา 4,143,269 บาท ตามลำดับ โดยให้โจทก์ไปส่งยางแก่จำเลยตามแขวงการทางต่าง ๆ โจทก์ได้จัดส่งยางไปแล้ว และจำเลยยังคงค้างชำระเงินค่ายางแอสฟัลท์ทั้งสิ้น 1,516,595 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2528 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญาซื้อขายยางแอสฟัลท์กับโจทก์จริง แต่โจทก์ผิดสัญญา จึงต้องชำระค่าเสียหายและค่าปรับซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้แล้วโจทก์ต้องชดใช้เงินให้แก่จำเลยจำนวน5,797,343.81 บาท ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงินจำนวน5,797,343.81 บาท แก่จำเลย โดยให้ธนาคารมหานคร จำกัดผู้ค้ำประกันสัญญาซื้อขายฉบับแรก จำนวน 425,872.50 บาท และให้ธนาคารศรีนคร จำกัด ผู้ค้ำประกันสัญญาซื้อขายฉบับที่สองจำนวน 207,163.45 บาท ร่วมรับผิดในยอดเงินที่แต่ละคนค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ (โดยจำเลยขอให้เรียกธนาคารมหานคร จำกัดและธนาคารศรีนคร จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตและศาลฎีกาให้เรียกเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ)
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์ส่งมอบยางแล้วจำเลยก็ไม่ได้ชำระราคาภายในเวลาอันสมควร การที่จำเลยปล่อยเวลาเนิ่นนานเกือบ 2 ปีจึงประกวดราคาใหม่ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและขาดอายุความจำเลยไม่มีสิทธิปรับโจทก์และไม่มีสิทธินำค่ายางแอสฟัลท์ จำนวน1,516,595 บาท มาหักกลบลบหนี้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยร่วมที่ 1 ให้การว่า ความเสียหายเกิดจากจำเลยผิดสัญญาและหากจำเลยร่วมที่ 1 จะต้องรับผิดก็เพียงร้อยละ 5 ของราคายางที่โจทก์ผิดสัญญา สิทธิเรียกร้องของจำเลยขาดอายุความ 1 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยร่วมที่ 2 ให้การว่า จำเลยร่วมที่ 2 จะต้องรับผิดต่อเมื่อโจทก์ผิดสัญญา แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญา จำเลยร่วมที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด ฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 2,482,995 บาทแก่จำเลยโดยให้จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวเป็นเงิน 425,872.50 บาท และ 207,163.45 บาท ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่แต่ละคนต้องรับผิดตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2530 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จและให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยร่วมที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยร่วมที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับรายวันจนถึงวันบอกเลิกสัญญาอันเนื่องจากโจทก์ส่งยางแอสฟัลท์ไม่ตรงกำหนดเวลา และไม่ครบจำนวน และมีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่จำเลยต้องซื้อยางแอสฟัลท์ชดเชยจากบุคคลภายนอกแล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความหรือไม่ว่า จำเลยฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาไม่ส่งมอบยางแอสฟัลท์ให้จำเลยภายในกำหนดเวลาตามสัญญาซื้อขายและให้โจทก์รับผิดราคายางแอสฟัลท์ที่จำเลยซื้อชดเชยจากบุคคลอื่นในจำนวนที่เพิ่มขึ้น กรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 คือมีกำหนด 10 ปี ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความและอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 467 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามที่จำเลยร่วมที่ 1 กล่าวอ้างมานั้นเป็นกรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อแล้ว หากปรากฏต่อมาว่าทรัพย์สินนั้นขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวน การเรียกร้องให้ผู้ขายรับผิดจึงจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรานี้โดยเริ่มนับอายุความตั้งแต่เวลาที่ส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย ไม่สามารถนำมาใช้แก่กรณีตามที่จำเลยฟ้องแย้งได้
พิพากษายืน