คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 299/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อปี พ.ศ.2487 บ.ได้ยกที่ดินให้ จ.ผ. และโจทก์ที่ 3 โดยให้โจทก์ที่ 2 มีสิทธิเก็บกิน ต่อมา พ.ศ.2510 จ.ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์ที่ 2 และใน พ.ศ.2513 ผ.ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 1 ประมาณ พ.ศ.2505 จำเลยได้ทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ทักท้วงจำเลยหยุดทำต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2510 จำเลยทำรั้วขึ้นใหม่ต่อจากที่ทำไว้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่พิพาทประมาณ 2 ตารางวา โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อฟังขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปีได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองแล้วศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่พิพาท โดยปรปักษ์มาดังข้อต่อสู้หรือไม่ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ได้ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนของ ผ.มาโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริต จำเลยจึงมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ที่ 1 ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนดังกล่าวไว้โดยไม่สุจริต ประเด็นข้อพิพาทของคดีจึงมีประเด็นเดียวตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด และไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ที่ 1 ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนของ ผ.ไว้โดยสุจริต และจดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกข้อที่ไม่มีประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัย นอกฟ้องนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 แม้ศาลชั้นต้นจะหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยก็ต้องถือว่าไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาคู่ความจะหยิบ ยกขึ้นเป็นประเด็นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาหาได้ไม่ และแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาที่ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว (อ้างฎีกาที่ 1958/2511)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗ นายบรรจงได้ยกที่ดินให้เด็กหญิงจิราภรณ์เด็กชายเผ่าศิริ และโจทก์ที่ ๓ โดยให้โจทก์ที่ ๒ มีสิทธิเก็บกินต่อมา พ.ศ.๒๕๑๐ นางสาวจิราภรณ์ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์ที่ ๒ และใน พ.ศ.๒๕๑๓ นายเผ่าศิริขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ ๑ ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๕ จำเลยได้ทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ทักท้วง จำเลยหยุดทำ ต่อมาเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๐ จำเลยทำรั้วขึ้นใหม่ต่อจากที่ทำไว้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่พิพาทประมาณ ๒ ตารางวา โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อฟัง ขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำ
จำเลยให้การว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน ๑๐ ปี ได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองแล้ว
ในวันชี้สองสถานจำเลยแถลงรับว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงกะประเด็นว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาดังข้อต่อสู้หรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปีแล้วจึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ แต่เจ้าของร่วมกับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ได้โอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต นับแต่ได้รับโอนมาถึงวันฟ้องยังไม่ถึง ๑๐ ปี จำเลยจึงอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาททางครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ที่ ๑ ไม่ได้ พิพากษาว่าแนวเขตระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยเป็นแนวตรง ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งที่รุกล้ำเป็นแนวโค้งเข้ามาในที่ดินโจทก์ออกไป ถ้าจำเลยไม่รื้อให้โจทก์รื้อถอนแล้วทำรั้วขึ้นใหม่ โดยจำเลยเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในการนี้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโดยมิได้มีการแบ่งแยกครอบครองเป็นส่วนสัด จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๙ และอยู่ในบังคับแห่งเงื่อนไขตามมาตรา ๓๐๒ เมื่อจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว แม้โจทก์ที่ ๑ จะเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ แต่ลำพังไม่อาจฟ้องเรียกที่พิพาทคืนมาเพื่อประโยชน์ของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ ได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์กล่าวอ้างเพียงว่า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ จำเลยทำรั้วรุกล้ำเข้ามาโจทก์ทักท้วงจำเลยหยุดต่อมาเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๐ จำเลยทำรั้วขึ้นใหม่ต่อจากที่ทำไว้โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อฟังส่วนจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ครอบครองที่พิพาทมาเกิน ๑๐ ปี ได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองแล้วตามคำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนของนายเผ่าศิริมาโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จำเลยจึงมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ที่ ๑ ซื้อที่พิพาทเฉพาะส่วนดังกล่าวไว้โดยไม่สุจริตตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย ประเด็นข้อพิพาทของคดีจึงมีประเด็นเดียวตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า ฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์มาดังข้อต่อสู้หรือไม่เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกข้อที่ไม่มีประเด็นขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ เมื่อไม่มีประเด็นในเรื่องนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยก็ต้องถือว่าไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา คู่ความจะหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาหาได้ไม่ และแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ มาตรา ๑๓๕๙ และมาตรา ๓๐๒ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๕๘/๒๕๑๑ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยทำรั้วรุกล้ำเข้าไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็น เจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ แล้วโจกท์จึงต้องแพ้คดีตามประเด็นข้อพิพาท
พิพากษายืน

Share