คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถชนรถโจทก์ร่วมในขณะรถโจทก์ร่วมหยุดอยู่ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า รถโจทก์ร่วมกำลังขับเคลื่อนไปมิได้หยุด เมื่อการชนเกิดขึ้นเนื่องจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้หาใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น และเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขับรถยนต์นั่ง 2 แถวด้วยความประมาทกล่าวคือ จำเลยขับรถผ่านรถประจำทางซึ่งจอดรับส่งคนโดยสารก่อนถึงทางแยกเข้าบ้านพักทหารอากาศไปด้วยความเร็วสูงประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมิได้ลดความเร็วและให้สัญญาณแต่อย่างใด ทั้งขับผ่านทางแยกไปด้วยความเร็วสูงเกินกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นเหตุให้ชนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลซึ่งมีนาวาอากาศโทเจริญ เมี้ยนกำเหนิด ขับสวนทางมาในขณะหยุดรถรอเพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าซอยบ้านพักทหารอากาศดังกล่าวเสียหาย นาวาอากาศโทเจริญ เมี้ยนกำเหนิดกับพวกได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 13,28, 29, 66 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 มาตรา 7, 13

จำเลยให้การปฏิเสธ

นาวาอากาศโทเจริญ เมี้ยนกำเหนิด ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้จำคุกจำเลย 3 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนัก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงและชนรถโจทก์ร่วมในขณะโจทก์ร่วมกำลังแล่นตัดถนนเพื่อเลี้ยวเข้าซอย หาใช่ชนในขณะรถโจทก์ร่วมจอดอยู่ไม่ และโจทก์ร่วมมิได้ขับตัดหน้ารถจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยเป็นฝ่ายประมาท ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถชนรถโจทก์ร่วมในขณะที่รถโจทก์ร่วมจอดอยู่ เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังว่าชนในขณะรถโจทก์ร่วมมิได้จอดแต่กำลังขับเคลื่อนไป จึงลงโทษจำเลยมิได้นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ดังกล่าว แต่เมื่อการชนเกิดขึ้นเนื่องจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย และโจทก์ร่วมก็มิได้ขับรถตัดหน้ารถจำเลยในระยะกระชั้นชิดดังจำเลยฎีกาอีกด้วย เช่นนี้ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ หาใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษดังที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share