แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางภารจำยอมเพราะไม่เคยมีใครใช้ทางดังกล่าว คำให้การของจำเลยย่อมมีความหมายไปถึงว่าไม่ใช่ทางภารจำยอมแม้แต่วาเดียวหรือศอกเดียวไปด้วย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไปถึงว่าความกว้างยาวของทางภารจำยอมมีขนาดไหน จึงอยู่ในขอบเขตของคำให้การของจำเลยแล้วไม่ใช่เป็นเรื่องนอกประเด็น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์ได้ใช้ที่ดินของจำเลยดังกล่าวส่วนหนึ่งมีขนาดกว้าง 2 วา ยาว 10 วา ใช้เป็นทางเดินเข้าออกของที่ดินโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะเป็นระยะเวลาติดต่อ กันประมาณ 35 ปีแล้ว โดยสงบ โดยเปิดเผย มีเจตนาให้ได้ทางภารจำยอม เป็นคำบรรยายฟ้องที่ชัดเจนแล้วว่าโจทก์ได้ภารจำยอมโดยอายุความ
คดีก่อนประเด็นพิพาทมีว่า จำเลยสละการครอบครองที่พิพาทแล้วหรือไม่ ทั้งศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยยังครอบครองที่พิพาท ไม่ได้สละการครอบครองโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ซึ่งมีประเด็นต่างกันและเหตุที่วินิจฉัยก็ต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๔๒ เลขที่ดิน ๔๔๙ ตำบลบ้านกระแชง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๒๐ ตำบลอำเภอจังหวัดเดียวกัน ซึ่งมีเขตติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๔๒ ปรากฏตามแนวแผนที่ท้ายฟ้องหมายเลข ๓ เดิมโจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยแปลงดังกล่าวส่วนหนึ่งมีขนาดความกว้าง ๓ วา ยาว ๑๐ วา เป็นทางเดินเข้าออกไปสู่ทางสาะารณะมาเป็นเวลาติดต่อกันกว่า ๓๕ ปีโดยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นทางภารจำยอม จะไม่ใช้เฉพาะฤดูฝนน้ำหลากในบางปีเท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒ โจทก์เอาดินไปถมในทางดังกล่าวเพื่อจะนำรถยนต์เข้าออกได้สะดวกจำเลยทั้งสองปิดกั้นทาง และฟ้องโจทก์อ้างว่าที่ดินที่โจทก์ใช้เป็นทางเดินผ่านนั้นเป็นของจำเลย ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๖/๒๕๒๕ ของศาลชั้นต้น และจำเลยได้ปิดกั้นทางดังกล่าวถึงวันฟ้องคดีนี้เป็นเวลา ๕ ปี เป็นการละเมิดต่อโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะโจทก์ไม่สามารถนำรถยนต์ ๒ คัน ซึ่งเคยจอดไว้ที่บ้านโจทก์เข้าออกได้ โจทก์ต้องนำไปฝากผู้อื่นไว้โดยเสียค่าฝากในอัตราเดือนละ ๒๐๐ บาทต่อคันเป็นเวลา ๕ ปี คิดเป็นเงิน ๒๔,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางภารจำยอมมีขนาดความกว้าง ๒ วา ยาว ๔ วา เพื่อให้โจทก์และบริวารเดินผ่านเข้าออกได้โดยสะดวก และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๒๔,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ทางภารจำยอมตามที่โจทก์ฟ้องเป็นทรัพยสิทธิที่ยังมิได้มีการจดทะเบียน โจทก์จึงไม่มีสิทธิ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าได้ทางภารจำยอมมาด้วยวิธีใด ไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๔๒ เดิมเป็นของนางลิ้นจี่ กลีบพุด ซึ่งบิดามารดาโจทก์เช่าปลูกเป็นโรงใช้เป็นที่ต่อเรือลำปั้น เรือแจวบิดามารดาโจทก์และบริวารไม่ได้ใช้ทางเดินในที่ดินของจำเลยเพราะมีทางอื่นออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและในที่ดินของบุคคลอื่นได้ทั้งที่ดินของจำเลยเป็นที่ลุ่มมีน้ำขัง จำเลยทั้งสองปลูกผักบุ้งผักกระเฉด บางปีก็ตกกล้า ไม่มีผู้ใดใช้เป็นทางเดิน เมื่อปี ๒๕๐๘โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๔๒ มาเป็นของโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒ โจทก์เพิ่งจะนำดินไปถมในที่ดินของจำเลยเพื่อใช้เป็นทางซึ่งมีความกว้าง ๓ เมตร ยาว ๑๐ เมตร จำเลยจึงแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีโจทก์ โจทก์ยินยอมจะขนดินที่ถมออก จากนั้นโจทก์มิได้เกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลยอีก นอกจากนี้จำเลยยังได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งห้ามมิให้โจทก์คัดค้านการที่จำเลยจะนำที่ดินดังกล่าวไปขอออกโฉนด ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาห้ามโจทก์ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๖/๒๕๒๕ ของศาลชั้นต้น และโจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ ความเสียหายของโจทก์มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง ๒ วายาวตลอดแนวจากที่ดินของโจทก์จนจดถนนสายวัดโพธิ์เลื่อนตามเส้นสีแดงของแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.๓ เป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทให้โจทก์และบริวารเดินเข้าออกได้สะดวก คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทซึ่งมีความกว้าง ๒ ศอกในที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๒๐ ตำบลบางกระแชง อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี ตกเป็นภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๔๒ ตำบลอำเภอและจังหวัดเดียวกัน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามคำให้การของจำเลยตลอดจนอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยทั้งสองไม่ได้ตั้งประเด็นมาว่าทางภารจำยอมที่โจทก์ฟ้องนั้นกว้างและยาวเท่าไร จำเลยทั้งสองต่อสู้คดีเพียงว่าโจทก์ไม่ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดิน ไม่ได้สู้คดีว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเพียง ๒ ศอก คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องและคำให้การนั้น ปัญหานี้จำเลยให้การว่าที่ดินของจำเลยเป็นที่ลุ่มลึกมีน้ำขังตลอดปี จำเลยใช้เป็นที่ปลูกผักบุ้ง ฯลฯ ไม่เคยมีใครเคยใช้ที่ดินสภาพนี้เป็นทางเดินผ่านไปมาแม้กระทั่งจำเลยผู้เป็นเจ้าของก็ยังต้องใช้ที่ดินของนางสาวมาลีครองวณิช เห็นว่า เมื่อจำเลยให้การว่า ไม่ใช่ทางภารจำยอมเพราะไม่เคยมีใครใช้ทางดังกล่าว คำให้การของจำเลยย่อมมีความหมายไปถึงว่า ไม่ใช่ทางภารจำยอมแม้แต่วาเดียวหรือศอกเดียวไปด้วยดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไปถึงว่าความกว้างยาวของทางภารจำยอมมีขนาดไหน จึงอยู่ในขอบเขตของคำให้การของจำเลยแล้วไม่ใช่เป็นเรื่องนอกประเด็นแต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาของจำเลยในประเด็นแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายข้อเท็จจริงให้เห็นว่า โจทก์ได้ภารจำยอมมาโดยวิธีใดนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์ได้ใช้ที่ดินของจำเลยแปลงดังกล่าวส่วนหนึ่งมีขนาดกว้าง ๒ วา ยาว ๑๐ วา ใช้เป็นทางเดินเข้าออกของที่ดินโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณะ เป็นระยะเวลาติดต่อกันประมาณ ๓๕ ปีแล้ว โดยสงบ โดยเปิดเผย มีเจตนาให้ได้ทางภารจำยอมเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนแล้วว่าโจทก์ได้ภารจำยอมโดยอายุความฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ฎีกาข้อต่อไปของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๗๖/๒๕๒๕ ของศาลจังหวัดปทุมะานีนั้น ศาลฎีกาได้ตรวจดูแล้วคดีหมายเลขแดงที่ ๗๖/๒๕๒๕ จำเลยฟ้องโจทก์ว่าจำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน โจทก์คัดค้านว่าที่ดินที่จำเลยออกโฉนดเป็นทางสาธารณะ ฯลฯ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถดำเนินการออกโฉนดให้แก่จำเลยได้ ขอให้ศาลเพิกถอนคำคัดค้านของโจทก์เสีย โจทก์ให้การว่า โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกจำเลยไม่เคยคัดค้านหรือโต้แย้งว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยสละการครอบครองแล้ว คดีดังกล่าวประเด็นข้อพิพาทมีว่าจำเลยสละการครอบครองที่พิพาทแล้วหรือไม่ไม่ได้มีการกล่าวถึงให้เป็นประเด็นข้อพิพาทว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ทั้งศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า จำเลยยังครอบครองที่พิพาท ไม่ได้สละการครอบครอง แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้ว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมซึ่งมีประเด็นต่างกัน และเหตุที่วินิจฉัยก็ต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
ส่วนฎีกาในประเด็นข้อสุดท้ายของจำเลยที่ว่าทางพิพาทเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ภารจำยอมกว้างเพียงคนเดินไปมาได้กว้าง ๒ ศอกดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
พิพากษายืน.