แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยเพราะให้จำเลยชำระหนี้แก่เจ้าหนี้แทนโจทก์ แม้การให้ดังกล่าวจะมิใช่เป็นการชำระหนี้ตอบแทนตามสัญญาต่างตอบแทนโดยตรง และถือไม่ได้ว่าเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน ตามป.พ.พ. ม.535(2) ก็เป็นการให้เพื่อเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ ตาม ม.535(1) การให้เช่นนี้จะถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาจำเลย โจทก์ได้ยกที่ดินทั้งสองแปลงให้จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน แล้วโจทก์ได้ไปบวชเป็นพระภิกษุต่อมาโจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งหมดเพราะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลย เมื่อโจทก์ลาสิกขา ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นจึงไปหาจำเลยเพื่อขออาหารเลี้ยงชีพ แต่จำเลยไม่ยอมให้อาหารเลี้ยงชีพและด่าโจทก์ เป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้พิพากษาให้ถอนคืนการให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ด่าโจทก์และไม่ได้ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์โจทก์เป็นหนี้บุคคลอื่นอยู่หลายหมื่นบาทได้ให้จำเลยออกเงินใช้หนี้แทนแล้วโจทก์จึงโอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ให้ที่ดินรายพิพาททั้งสองแปลงแก่จำเลยเพราะให้จำเลยชำระหนี้แก่เจ้าหนี้แทนโจทก์ แม้การให้ที่ดินดังกล่าวจะมิใช่เป็นการชำระหนี้ตอบแทนตามสัญญาต่างตอบแทนโดยตรง และถือไม่ได้ว่าเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535(2)ก็เป็นการให้เพื่อเป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 535(1) การให้เช่นนี้จะถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณหาได้ไม่
พิพากษายืน