แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาค้ำประกันความว่า จำเลยที่ 2 ตำแหน่งประธานสมาคม จำเลยที่ 1 ขอทำสัญญาค้ำประกันว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ยืมเงินจากโจทก์จำเลยที่ 2 ขอรับรองว่า ถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์แทนจำเลยที่ 1 นั้น หาใช่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันในนามจำเลยที่ 1 ไม่เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ยืมไม่อาจทำสัญญาค้ำประกันตนเองให้มีผลตามกฎหมายได้ ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนข้อสัญญาและสภาพแห่งสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 3 ฉบับ เป็นเงินรวม707,405 บาท ตามสัญญาแต่ละฉบับ มีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารของจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวได้ทำสัญญาค้ำประกัน ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันในฐานะประธานกรรมการสมาคมจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันในฐานะส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนตัว ต้องรับผิดต่อโจทก์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานกรรมการสมาคม จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาค้ำประกันมีใจความว่า จำเลยที่ 2 ตำแหน่งประธานสมาคมจำเลยที่ 1 ขอทำสัญญาค้ำประกันว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ขอรับรองว่าถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับโจทก์ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใด จำเลยที่ 2ยอมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์แทนจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ก่อนแล้ววินิจฉัยว่า ตามข้อสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ความชัดว่า จำเลยที่ 2 ได้ยอมผูกพันเข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ว่าจะรับโอนชำระหนี้โจทก์แทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้ยืมไม่อาจทำสัญญาค้ำประกันตนเองให้มีผลตามกฎหมายได้แต่ประการใดข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ว่าไม่ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อสัญญาและสภาพแห่งสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว
พิพากษายืน