คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2980/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก. กับพวกเป็นฝ่ายก่อเรื่องไล่ทำร้ายจำเลยที่ 1และที่ 2โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้สมัครใจวิวาทด้วย จำเลยที่ 2 ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 ในขณะที่ ก. ขึ้นคร่อมจำเลยที่ 1 จะใช้มีดคัตเตอร์แทงจำเลยที่ 1 และมีเพื่อนก. ร้องบอกเอาให้ตาย จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงที่หลัง ก.เพียง 1 ที แล้วชักมีดวิ่งหนีไป แสดงว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เลือกแทงที่สำคัญเพียงแต่แทงเท่าที่โอกาสอำนวยไม่มีเจตนาฆ่า ก. และจำเลยที่ 2 กระทำเพื่อป้องกันมิให้ก. แทงจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
จำเลยที่ 1 มิได้สมัครใจวิวาทกับ ก. แต่ถูก ก. กับพวกไล่ทำร้ายจนจำเลยที่ 2 ต้องเข้าช่วยเหลือด้วยการแทง ก. อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 พาอาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่มไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นฝ่ายหนึ่ง และนายกุลพัฒน์ นูร์ อีกฝ่ายหนึ่ง สมัครใจทะเลาะวิวาทกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองโดยเจตนาฆ่าร่วมกันทำร้ายและใช้อาวุธมีดปลายแหลมดังกล่าวแทงนายกุลพัฒน์ ถูกอวัยวะสำคัญเป็นบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง แต่แพทย์รักษาทันท่วงที นายกุลพัฒน์จึงไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371, 83, 91, 33 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 299 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,371 จำเลยทั้งสองอายุไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด8 เดือน เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 2 ความผิดตาม มาตรา 288, 80 จำคุก 6 ปี 8 เดือน ตามมาตรา 371 ปรับ 60 บาท รวมจำคุก 6 ปี 8 เดือน ปรับ60 บาท คำให้การและคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 4 ปี 4 เดือน 40 วัน ปรับ 40 บาท ริบมีดของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 4 เดือนปรับ 500 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นคืนมีดของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายกุลพัฒน์ กับพวกเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องไล่ทำร้ายจำเลยทั้งสองในร้านที่เกิดเหตุ โดยจำเลยทั้งสองมิได้ต่อสู้ แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งถูกไล่ตีได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 ในขณะที่นายกุลพัฒน์ขึ้นคร่อมจำเลยที่ 1 จะใช้มีดคัตเตอร์แทงทำร้ายจำเลยที่ 1 และมีเพื่อนนายกุลพัฒน์ร้องบอกให้เอาให้ตายจำเลยที่ 2 จึงวิ่งออกไปใช้มีดของกลางแทงที่หลังนายกุลพัฒน์เพียง 1 ที แล้วชักมีดวิ่งหนีไปนั้น แสดงว่าไม่ได้เลือกแทงที่สำคัญ เพียงแต่แทงเท่าที่โอกาสอำนวย ไม่มีเจตนาฆ่านายกุลพัฒน์ เมื่อนายกุลพัฒน์ถูกแทงแล้วก็เสียหลักไม่สามารถทำร้ายจำเลยที่ 1 ได้ หากไม่กระทำเช่นนั้น จำเลยที่ 1 จะต้องถูกนายกุลพัฒน์ทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส หรืออาจถึงตายได้ เชื่อว่าจำเลยที่ 2 กระทำเพื่อป้องกันมิให้นายกุลพัฒน์แทงทำร้ายจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ฯลฯ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้สมัครใจวิวาทกับนายกุลพัฒน์ แต่ถูกนายกุลพัฒน์กับพวกไล่ทำร้ายจนจำเลยที่ 2 ต้องเข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ด้วยการแทงนายกุลพัฒน์ อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share