คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้กุญแจไขล็อกคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่ง ธ.นำมาจอดไว้ที่หน้าร้านอาหาร แล้วได้นำสายหัวเทียนต่อเพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ตลอดพร้อมที่จะสตาร์ทเครื่อง แต่ ธ. มาพบและขัดขวางเสียก่อนจำเลยจึงไม่สามารถนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปได้ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกพยายามลักทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7), 83, 80 จำคุก3 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คืนเกิดเหตุนายธีระพงษ์ รู้รอบดี ได้นำรถจักรยานยนต์ของนายชม สมใจเพ็งผู้เสียหายไปจอดไว้ที่บริเวณร้านอาหารโนอาร์คาเฟ่ มีปัญหาในชั้นนี้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ นายธีระพงษ์เบิกความว่า คืนเกิดเหตุประมาณ 23 นาฬิกามีผู้โดยสารว่าจ้างให้พยานขับรถจักรยานยนต์มาส่งที่ร้านโนอาร์คาเฟ่ ผู้โดยสารได้ชวนพยานให้เข้าไปในร้านอาหารด้วย พยานจึงจอดรถจักรยานยนต์ไว้หน้าร้านอาหารดังกล่าว โดยล็อกกุญแจคอและถอดสายไฟหัวเทียนออกเข้าไปนั่งในร้านอาหารห่างรถที่จอดไว้ประมาณ 8 เมตรซึ่งสามารถมองเห็นรถได้ ประกอบทั้งบริเวณที่จอดรถนั้นมีแสงไฟสว่างประมาณ 3 นาทีต่อมา เห็นชายคนหนึ่งไปจับแฮนด์รถของพยานโยกไปมาและเอาสายหัวเทียนเสียบเข้าที่เดิม สักครู่ก็ขึ้นนั่งคร่อมบนอานและใช้กุญแจสอดเข้าไปในรูกุญแจช่องที่ล็อกคอ แล้วใช้เท้าถีบคันสตาร์ทพยานรีบวิ่งไปที่รถ แต่ชายดังกล่าวได้วิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพวกแล้วพากันหลบหนีไป พยานไปแจ้งให้นายชมเจ้าของรถที่ปากซอยภาณุรังษีทราบ พอดีจ่าสิบตำรวจสำเริง คลองร่มโพธิ์สายตรวจผ่านมาพยานได้แจ้งความแล้วพากันมาดูที่เกิดเหตุขณะมาถึงที่เกิดเหตุเห็นจำเลยเดินออกมาจากร้านโนอาร์คาเฟ่จึงชี้ให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยจ่าสิบตำรวจสำเริงเบิกความว่าเมื่อรับแจ้งความจากนายธีระพงษ์และนายชมแล้วพากันมาที่หน้าร้านที่เกิดเหตุ พอดีจำเลยเดินออกมา นายธีระพงษ์จึงแจ้งว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ จำเลยว่าเพียงแต่จะเอากุญแจไปปิดไฟที่รถให้เท่านั้น พยานจึงจับตัวจำเลยส่งพนักงานสอบสวน เห็นว่าประจักษ์พยานโจทก์แม้จะมีเพียงนายธีระพงษ์เพียงปากเดียวว่าจำเลยเป็นคนร้ายเข้าไปใช้กุญแจไขล็อกคอรถออก พร้อมทั้งนำสายหัวเทียนซึ่งนายธีระพงษ์ ถอดออกต่อเข้าอย่างเดิม ชั้นจับกุมจำเลยได้รับต่อจ่าสิบตำรวจสำเริงผู้จับกุมว่า จำเลยเพียงใช้กุญแจปิดไฟรถให้เท่านั้น ชั้นพิจารณาจำเลยอ้างว่าตนมิได้เป็นคนใช้กุญแจปิดไฟรถคันเกิดเหตุหากแต่จำเลยบอกนายแอ๊ดว่าไฟหน้าปัดรถเปิดอยู่ รูปคดีฟังได้ว่าระหว่างเวลาเกิดเหตุจำเลยได้เข้าไปอยู่ในที่เกิดเหตุจริงจำเลยรับต่อจ่าสิบตำรวจสำเริงว่าเพียงแต่เอากุญแจปิดไฟรถคันเกิดเหตุเท่านั้น นายธีระพงษ์ยืนยันว่า ก่อนเข้าไปในร้านอาหารตนได้ใช้กุญแจล็อกคอรถ และถอดสายหัวเทียนออกคำเบิกความตอนนี้น่าจะสมเหตุผลดีเพราะการจอดรถในสถานที่เช่นนั้นผู้ครอบครองรถย่อมต้องหาวิธีป้องกันมิให้รถถูกลักได้โดยง่าย ร้อยตำรวจโทสมพร แดงดีพนักงานสอบสวนเบิกความว่า หลังเกิดเหตุ 2 วัน พยานได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าบริเวณหน้าร้านโนอาร์คาเฟ่มีไฟฟ้าขนาด 40 แรงเทียน จำนวน 4-5 หลอด และยังมีแสงไฟฟ้าจากไฟสาธารณะบนเกาะกลางถนนอีก พยายานได้ไปนั่งที่โต๊ะตัวที่ 2 ที่นายธีระพงษ์อ้างแล้ว สามารถเห็นเหตุการณ์ภายนอกได้ชัดเจน เชื่อว่านายธีระพงษ์เห็นและจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้ายที่ใช้กุญแจไขล็อกคอรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุและนำสายหัวเทียนต่อเพื่อให้กระแสไฟผ่านได้ แล้วเตรียมสตาร์ทรถคันเกิดเหตุจริง ถ้าจำเลยเพียงแต่ใช้กุญแจปิดไฟเท่านั้นก็ไม่น่าที่นายธีระพงษ์จะถึงกับแจ้งความเพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยเพราะไม่เคยมีสาเหตุกันมาก่อน เนื่องจากพฤติการณ์ของจำเลยฟังได้ว่าเมื่อไขกุญแจล็อกคอรถแล้วได้นำสายหัวเทียนต่อเพื่อให้กระแสไฟผ่านได้ตลอดพร้อมที่จะสตาร์ทเครื่องและนำรถคันเกิดเหตุไปทันที ถ้านายธีระพงษ์ไม่เห็นและรีบมาขัดขวางเสียก่อนการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share