แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าปรับและใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทแล้ว การที่จำเลยจะต้องออกไปจากอาคารพิพาทหรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอนโดยจะต้องรอจนคำพิพากษาขับไล่จำเลยตามฟ้องเดิมเสียก่อน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิเช่าอาคารพาณิชย์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินราชพัสดุ และให้เช่าช่วงได้โดยได้รับอนุญาตจากรมธนารักษ์ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าช่วงอาคารพิพาทจากโจทก์มีกำหนด 2 ปี เมื่อครบกำหนดการเช่าจำเลยไม่ยอมออกจากสถานที่เช่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากอาคารของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทมีกำหนด 3 ปี และโจทก์ให้คำมั่นว่าเมื่อครบสัญญาเช่า 3 ปีแล้ว ถ้าจำเลยจะเช่าต่อก็มีสิทธิเช่าได้อีก 3 ปี เมื่อจำเลยแจ้งความประสงค์แล้วโจทก์ปฏิเสธไม่ได้ถ้าโจทก์ไม่อาจให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทได้ตามสัญญาหรือคำมั่น ยอมให้จำเลยปรับสัญญาเช่าช่วงเป็นนิติกรรมอำพราง การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ซึ่งโจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยคือ ค่าปรับ ค่าเสียหายที่ไม่สามารถเช่าอาคาร โดยจำเลยได้สร้างอาคารเพิ่มขึ้น ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายค่าจ้างแก่พนักงานของจำเลยจากการที่จำเลยไม่สามารถประกอบกิจการในอาคารพิพาทได้ต่อไปตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับโจทก์ชำระค่าปรับและค่าเสียหายแก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าปรับและใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทแล้ว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ซึ่งการที่จำเลยจะต้องออกไปจากอาคารพิพาทหรือไม่ ยังไม่เป็นที่แน่นอน โดยจะต้องรอจนศาลพิพากษาขับไล่จำเลยตามฟ้องเดิมเสียก่อน จึงเห็นได้ว่าฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย
พิพากษายืน