คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกันเมื่อผู้ขายส่งมอบที่ดินให้ผู้ซื้อ ก็ถือได้ว่ามีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ สัญญานั้นก็สมบูรณ์ ฟ้องร้องบังคับกันได้ตามกฎหมาย ฎีกาอุทธรณ์ปัญหากฎหมาย ปัญหาข้อเท็จจริง ข้อที่คู่ความฎีกาอ้างเป็นปัญหากฎหมายขึ้นมาว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนนั้น เมื่อปรากฏว่าศาลล่างมิได้ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนแล้ว ดังนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณา

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์เป็นเจ้าของที่นารายพิพาทโจทก์อยากให้ ม.พี่สาวจำเลยซื้อไว้ ม.ได้ให้เงินโจทก์ไป ๔๘๐ บาท ภายหลังจำเลยอยากได้ที่นารายนี้ จึงนำเงิน ๔๘๐ บาทไปให้แก่ ม.ต่อมาจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์อีก ๒ ครั้งเป็นเงิน ๔๐๐ บาท รวม ๘๘๐ บาท ยังคงค้างอยู่อีก ๑๒๐ บาท เงิน ๘๘๐ บาทนี้จำเลยได้ให้โจทก์ทำเป็นสัญญากู้ไว้แล้วจำเลยก็รับเอาที่นาจากโจทก์ไปทำตลอดมาทุกปี แลตกลงจะโอนกันเมื่อชำระเงินเสร็จ บัดนี้ที่นาลงราคาจำเลยกลับมาฟ้องโจทก์เรียกเงินตามสัญญากู้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยขอให้ทำลายสัญญากู้โดยอ้างว่าเงินตามสัญญากู้ คือเงินราคานาที่จำเลยซื้อโจทก์ แลขอให้บังคับให้จำเลยรับซื้อนาเป็นราคา ๑๐๐๐ บาท
ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาให้จำเลยรับซื้อที่นาแลให้ชำระราคานาที่ค้างอีก ๑๒๐ บาทแก่โจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า จำนวนเงิน ๘๘๐ บาท ซึ่งโจทก์รับไปจากจำเลยนั้น แม้จะไม่ถือว่าเป็นเงินมัดจำหรือเงินชำระหนี้ในการจะซื้อขายที่นากันก็ดี แต่การที่โจทก์มอบนาให้จำเลยปกครอง ทำกินย่อมถือได้ว่าได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว นิติกรรมจะซื้อขายจึงเป็นอันสมบูรณ์ตาม ม.๔๕๖ โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องขอให้บังคับจำเลยได้ ส่วนข้อที่ว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาชี้ขาดว่าจำเลยจะซื้อที่นาจากโจทก์นั้นเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยอาศัยพฤตติการณ์ตามคำพะยานหลักฐานในท้องสำนวน ฎีกาข้อนี้จึงเป็นข้อเท็จจริง ไม่ควรรับไว้พิจารณา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share