คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2963/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ท. ขายและยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ แม้การซื้อขายและยกให้ซึ่งที่พิพาทจะไม่มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์เข้าครอบครองโดยเจ้าของเดิมได้สละสิทธิครอบครองของตนให้แล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท และหาใช่การครอบครองแทนจำเลยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่พิพาท และพิพากษาว่าที่เป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของนายเทือก ศักดิ์ศรีชัย ผู้ตายตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 278 ตำบลไพล อำเภอปราสาทจังหวัดสุรินทร์ และโจทก์เป็นผู้ครอบครองนาที่พิพาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่มีว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสี่หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า เมื่อ 20 ปีมาแล้ว โจทก์ซื้อนาพิพาทจากนายเทือกเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ราคา3,000 บาท นายเทือกขายที่นาแปลงดังกล่าวให้โจทก์เพราะต้องการนำเงินไปใช้ในการแต่งงานของลูกชายชื่อนายทอง ไม่มีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายเทือก นายเทือกตกลงขายที่นาให้โจทก์แบบขายขาด โจทก์ได้ชำระค่าที่ดินแก่นายเทือกไปเรียบร้อยแล้ว และนายเทือกได้แบ่งที่นาโตงให้โจทก์และนางเยือมมีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ อยู่ติดกับที่นาที่โจทก์ซื้อมาจากนายเทือกโจทก์ทำนาในที่นาพิพาทตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ และได้แจ้งสำรวจเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามสำเนาแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 นางเยือมถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2522 โจทก์ได้แต่งงานกับนางเหืองในปีเดียวกันนั้นเองจึงเกิดกรณีพิพาทเกี่ยวกับที่ดินกับจำเลยทั้งสี่ จำเลยที่ 4ได้ไปร้องเรียนที่อำเภอเพื่อขอเอาที่นาจากโจทก์คืนในปี พ.ศ. 2522ทางอำเภอเรียกโจทก์ไปไกล่เกลี่ย แต่ตกลงกันไม่ได้ ทางอำเภอจึงให้มาทำการไกล่เกลี่ยต่อที่บ้านผู้ใหญ่บ้านและกำนัน กำนันและผู้ใหญ่บ้านเรียกโจทก์ไปไกล่เกลี่ยที่บ้านนายดำรงค์ผู้ใหญ่บ้านโคกลาว จำเลยทั้งสี่ก็ได้ไปด้วย ในที่สุดตกลงกันว่าจะให้มีการกินน้ำสาบานกัน โดยจำเลยทั้งสี่ตกลงว่าถ้าโจทก์กล้ากินน้ำสาบานว่าได้ซื้อนาพิพาทส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งนายเทือกกับจำเลยที่ 1 ยกให้จริง จำเลยที่ 1 จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับที่พิพาทอีกต่อไป โจทก์ก็กินน้ำสาบานตามที่ตกลงกันต่อหน้านายยงกำนันนายดำรงค์ผู้ใหญ่บ้าน นายนอง อินทยุง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านอื่นอีกหลายคน หลังจากโจทก์กินน้ำสาบานได้แล้วก็ได้เข้าทำนาที่พิพาทต่อไป โดยจำเลยมิได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอีก คำของโจทก์ดังกล่าวมีนายยรรยง พึ่งตน กำนันตำบลไพล กับนายดำรงค์แหวนวิเศษ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ซึ่งที่พิพาทอยู่ในเขตปกครองและนายนอง อินทยุง เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ทางอำเภอให้กำนันตำบลไพล เป็นผู้จัดการไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสี่ท้าให้โจทก์สาบานว่าที่นาพิพาทนี้ส่วนหนึ่งโจทก์ซื้อมาจากนายเทือกและจำเลยที่ 1 อีกส่วนหนึ่งนายเทือกและจำเลยที่ 1 ยกให้โจทก์และภริยา หากโจทก์สาบานได้พวกจำเลยจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในที่พิพาทแปลงนี้อีก โจทก์ยินยอมสาบานตามที่จำเลยท้า โจทก์พูดสาบานด้วยตนเองแล้วจึงดื่มน้ำสาบานต่อหน้าจำเลยทั้งสี่ นายนอง กำนัน และนายดำรงค์ ภายหลังการดื่มน้ำสาบานดังกล่าวแล้ว โจทก์ก็ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้นายดิ ไวเร็ว ซึ่งมีที่นาติดกับนาพิพาททางทิศตะวันออกก็เบิกความว่าโจทก์ทำนาพิพาทมานานประมาณ 25 ปีเศษ จำเลยไม่เคยเข้ามาทำนาพิพาท ส่วนจำเลยทั้งสี่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่านายเทือกได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ในที่พิพาทมานานแล้วเมื่อนายเทือกตายที่แปลงนี้จึงตกมาเป็นของจำเลยที่ 1 ปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมาย ล.3นายเทือกได้เอาที่พิพาทจำนำไว้ให้แก่โจทก์จำนวน 3 แถว เป็นเงิน3,000 บาท โดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ได้เข้าทำนาส่วนนั้นต่างดอกเบี้ยมาตลอด จำเลยที่ 1 ขอไถ่ที่นาที่จำนำไว้ แต่โจทก์ไม่ยอมให้ไถ่ถอนอ้างว่าขายขาดให้แล้ว จำเลยที่ 1 ยังได้ให้นางเยือมบุตรสาวจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาโจทก์เข้าทำกินบนที่นาอีกจำนวน 2 แถว โดยให้อาศัยทำกินชั่วคราวเท่านั้น มิได้ยกให้เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆไม่มีน้ำหนักให้รับฟังจำเลยปล่อยให้โจทก์ครอบครองที่พิพาทถึง20 ปีเศษ เพิ่งคิดเรียกคืนหลังจากนางเยือมภริยาโจทก์ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานจำเลย เฉพาะอย่างยิ่งโจทก์เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่พิพาทตลอดมา คดีมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งนายเทือกได้ขายให้แก่โจทก์ และอีกส่วนหนึ่งได้ยกให้แก่โจทก์กับภริยาแล้ว แม้การซื้อขายและยกให้ซึ่งที่พิพาทนี้จะไม่มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์เข้าครอบครองโดยเจ้าของเดิมได้สละสิทธิครอบครองของตนให้แล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทและหาใช่การครอบครองแทนจำเลยไม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share