แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ห้างม.เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินกิจการแทน ต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เข้าหุ้นกันตั้งห้างส. เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เพื่อขยายกิจการค้าของห้างม. และจำเลยที่ 1 ได้ทำการค้าของห้างส.ต่อมาในนามของห้าง ม. โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่จำเลยทั้งสามประกอบการค้าร่วมกันดังกล่าว จึงเป็นการเข้าหุ้นส่วนกัน เมื่อจำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทและเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ เป็นการทำแทนห้าง ส. แต่ใช้ชื่อห้าง ม. จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ชื่อ “มรกต” หรือ “แสงมรกต” ในการทำนิติกรรมต่าง ๆ กับโจทก์ และบุคคลอื่น จำเลยใช้ชื่อหุ้นส่วนว่ามรกตหรือแสงมรกต จำเลยที่ 1 ในนามห้างมรกตได้ทำหนังสือใบรับสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) และสัญญาจะชำระเงินตามตั๋วแลกเงิน 2 ฉบับไว้ต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันสัญญา แต่เมื่อหนี้ตามสัญญาดังกล่าวถึงกำหนดชำระ จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์คิดเป็นหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปีจากวันผิดนัดถึงวันฟ้องรวมทั้งสิ้นที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ 252,758.82 บาท กับจำเลยที่ 1 ได้ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อกระดาษอัดรูป โดยจำเลยสัญญายินยอมให้ผู้ขายสินค้ามีอำนาจออกตั๋วแลกเงินสั่งจ่ายเอากับจำเลยในชื่อร้านมรกต โจทก์ไปเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้และจ่ายเงินให้ผู้ขายสินค้าเป็นเงิน 3,020 เหรียญอเมริกัน เท่ากับ 147,420 บาท แต่จำเลยที่ 1 กลับผิดสัญญาจึงต้องรับผิดใช้เงินที่กล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 12 นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 184,821.20 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสี่รวมกันชำระหนี้ตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีในต้นเงินจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนในห้างมรกตห้างมรกตและห้างแสงมรกตเป็นคนละห้างต่างหากจากกัน จำเลยที่ 1ในนามห้างมรกตไม่ได้ทำสัญญา ใบรับสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) ไม่ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ หากเป็นจริงดังฟ้อง ก็เป็นการกระทำในนามของจำเลยที่ 1 ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ได้จ่ายเงินให้ผู้ขายสินค้าดังฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ได้รับหนังสือทวงถาม
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ห้างมรกตและห้างแสงมรกตมีฐานะคนละคนไม่เกี่ยวพันกัน ห้างมรกตมีนางสมใจภรรยาจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการและจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วน ส่วนห้างแสงมรกตมีนายบักเตียงจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงหุ้นส่วนเช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 เมื่อจดทะเบียนพาณิชย์แล้วห้างแสงมรกตไม่ได้กระทำกิจการค้าใด ๆ เลย และจำเลยที่ 3 ได้ถอนตัวจากหุ้นส่วนในห้างแสงมรกตแล้วจำเลยที่ 1 ทำสัญญาใบรับสินค้าเชื่อในนามห้างมรกตไม่ผูกพันห้างแสงมรกตซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้จัดการไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1กระทำสัญญาใด ๆ หรือกระทำกิจการใด ๆ แทนห้างแสงมรกต จำเลยที่ 3ไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวใด ๆ จากโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาใบรับสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) และขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามฟ้องกับโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้เงินและดอกเบี้ย หนี้สินตามฟ้องเกิดขึ้นในระหว่างที่ยังเป็นหุ้นส่วนกันอยู่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเฉพาะสัญญาทรัสต์รีซีท คงต้องรับผิดเพียงนั้น พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระหนี้และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 352,202.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 318,855 บาท 40 สตางค์ จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้จำเลยที่ 4 ชำระแทนในวงเงินไม่เกิน 178,743.40 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 กันยายน 2512 จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาได้ความว่า ห้างมรกตและห้างแสงมรกต เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีสำนักงานอยู่ห้องเดียวกันคือห้องเลขที่ 607 ถนนบำรุงเมือง ห้างมรกตนั้นนางสมใจ ทับศิลา ภรรยาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์เพื่อประกอบการค้ากล้องถ่ายรูป เครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปและเครื่องเขียนแบบเรียน จำนวนเงินทุน 20,000 บาท มีนางสมใจ ทับศิลาเป็นเจ้าของและผู้จัดการ เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนพาณิชย์เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2507 และปรากฏหลักฐานในสำเนาคำขอจดทะเบียนพาณิชย์เอกสารหมาย ล.1 ว่า ต่อมาห้างนี้ได้จดทะเบียนเลิกไปแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าเลิกเมื่อใด ส่วนห้างแสงมรกต จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์เพื่อประกอบการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปจำนวนเงินทุน 200,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ถือหุ้น เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนพาณิชย์เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2508 สำหรับห้างมรกตเมื่อจดทะเบียนแล้วก็ประกอบการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปตลอดมา โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินกิจการแทนนางสมใจ ทับศิลา และวินิจฉัยว่า ห้างมรกตและห้างแสงมรกตเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แม้จะแยกกันจดทะเบียนพาณิชย์แต่การที่ห้างทั้งสองประกอบพาณิชย์กิจเกือบจะเป็นประเภทเดียวกัน คือห้างแสงมรกตทำการค้ากล้องถ่ายรูปเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูป ส่วนห้างมรกตทำการค้ากล้องถ่ายรูปเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปและเครื่องเขียนแบบเรียน ที่ตั้งของสำนักงานก็อยู่ห้องเดียวกัน ส่วนป้ายหน้าร้านมีแต่ป้ายของห้างมรกตสำหรับการดำเนินกิจการของห้าง แม้ห้างมรกตจะจดทะเบียนพาณิชย์ว่านางสมใจ ทับศิลาเป็นผู้จัดการ แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของนางสมใจก็เป็นผู้ดำเนินกิจการแทน ทั้งจำเลยที่ 1 ก็เป็นหุ้นส่วนของห้างแสงมรกตด้วย ห้างมรกตประกอบการค้าตลอดมานับแต่จดทะเบียนพาณิชย์ แต่ไม่ปรากฏว่าห้างแสงมรกตได้ทำการค้าในนามของตนเองเลย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าห้างแสงมรกตไม่ได้ทำการค้า เพราะนับแต่วันจดทะเบียนพาณิชย์จนถึงวันฟ้องก็เป็นเวลาถึง 7 ปีเศษ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ห้างแสงมรกตจะจดทะเบียนพาณิชย์และตั้งสำนักงานไว้เฉย ๆ โดยไม่ประกอบการค้า พฤติการณ์น่าเชื่อตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เข้าหุ้นกันจดทะเบียนพาณิชย์ตั้งห้างแสงมรกตประกอบการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูป เพื่อขยายกิจการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปของห้างมรกตเดิมของจำเลยที่ 1 ภรรยานั้นเอง แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 มีความชำนาญทางการค้าประเภทนี้อยู่แล้ว จำเลยที่ 1 จึงทำการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปของห้างแสงมรกตต่อมาในนามของห้างมรกต โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่จำเลยทั้งสามและจำเลยที่ 1 กับภรรยาประกอบการค้าร่วมกันดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการเข้าหุ้นส่วนกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาทรัสต์รีซีทและเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามฟ้องเป็นการทำแทนห้างแสงมรกต แต่ใช้ชื่อห้างมรกตดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์
พิพากษายืน