แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ชำนาญพอ ขับรถทางโทโดยประมาทพุ่งเข้าชนรถยนต์จำเลยที่ขับอยู่ในทางเอก ดังนี้ ความเสียหายเกิดขึ้นจากความผิดของผู้ตายฝ่ายเดียว หาใช่เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการที่จำเลยขับรถยนต์ เมื่อจะผ่านทางแยกด้วยความเร็วประมาณ 30 – 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกินอัตราที่กำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนบทบังคับแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก แต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ ๒ โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังพุ่งเข้าชนรถจักรยานยนต์ ซึ่งนายพาวสามีของโจทก์ขับขี่ตรงทางแยก เป็นเหตุให้นายพาวถึงแก่ความตาย รถจักรยานยนต์เสียหายใช้การไม่ได้ เป็นการทำละเมิดซึ่งจำเลยที่ ๒ นายจ้างต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน ๑๙๒,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ผู้ตายขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามทางโทจะตัดข้ามถนน ซึ่งเป็นทางเอก โดยมิได้หยุดรอให้รถในทางเอกผ่านไปก่อน แต่กลับออกรถเร่งความเร็วสูงมากพอดีกับรถของจำเลย ซึ่งแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้ใช้ความระมัดระวังแล้วผ่านมา รถจักรยานยนต์ของผู้ตายจึงพุ่งเข้าชนรถของจำเลย อุบัติเหตุจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ผู้ตายก่อขึ้น ค่าสินไหมทดแทนไม่เกิน ๓๓,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับจำเลยมีส่วนประมาทด้วยแต่เป็นเพียงส่วนน้อย โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทอแทนความเสียหายซึ่งกำหนดรวม ๑๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดเพียงหนึ่งในสี่ส่วนเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์โดยสารเป็นความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียว พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาเป็นยุติแล้วนั้น เหตุที่รถชนกันเป็นผลให้เกิดความเสียหาย คือผู้ตายถึงแก่ความตายและรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับขี่เสียหาย เป็นเพราะผู้ตายขับขี่ไม่ชำนาญพอ ไม่รอให้รถทางเอกไปก่อน โดยประมาทขับรถออกจากทางโทพุ่งเข้าชนรถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับอยู่ในทางเอก ดังนี้ ความเสียหายดังกล่าวได้เกิดขึ้นจากความผิดของผู้ตายแต่ฝ่ายเดียว หาใช่เป็นผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์เมื่อจะผ่านทางแยกด้วยความเร็วประมาณ ๓๐ – ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง อันเป็นการฝ่าฝืนบทบังคับแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฯ แต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จึงมิได้กระทำละเมิด ไม่มีเหตุให้จำเลยที่ ๒ นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้าง
พิพากษายืน