คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร้องคัดค้านในคดีก่อนซึ่งจำเลยทั้งสองเป็นคู่ความกันอยู่แล้ว และคดีนั้นก็กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล เช่นนี้ โจทก์จะนำมูลกรณีเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยในคดีใหม่อีกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ได้นำไปขายฝากไว้กับ ม.จ. อัจฉราฉวี เทวกุล ครบกำหนดแล้วไม่ไถ่คืน และจำเลยที่ ๑ ฟ้องจำเลยที่ ๒ ให้รื้อถอนห้องแถวที่จำเลยที่ ๒ เช่าจำเลยที่ ๑ ปลูก โดยโจทก์ทั้ง ๑๘ คน เป็นผู้เช่า หลังจากนั้นได้สมรู้กันทำสัญญาประนีประนอม และศาลได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ ๒ และบริวารออกจากที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้เพิกถอนสัญญาและคำพิพากษาตามยอมนั้น
ศาลแพ่งตรวจฟ้องแล้วสั่งว่า ตามฟ้องโจทก์กล่าวว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ แล้ว เป็นของ ม.จ. อัจฉราฉวี เทวกุล โดยหลุดจากการขายฝาก จึงขอบที่จะเชิญ ม.จ.อัจฉราฉวี เทวกุล มาเป็นโจทก์ถึงจะถูก เพราะเป็นผู้เสียหายโดยตรง จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจเลยสมยอมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและใช้คำพิพกาษาตามยอมเป็นเครื่องบังคับขับไล่โจทก์ เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ที่จะได้อยู่อาศัยในห้องเช่า โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องได้นั้น ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๘๗/๒๕๐๓ ของศาลแพ่งว่า โจทก์ได้คัดค้านไว้แล้วว่า โจทก์ไม่ใช่บริวารของจำเลยในคดีดังกล่าว ศาลจะบังคับขับไล่โจทก์ก็ไม่ได้ และคดีนั้นก็กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล เมื่อเช่นนี้ การที่จะบังคับขับไล่โจทก์โดยถือว่าโจทก์เป็นบริวารของจำเลยในคดีดังกล่าวได้หรือไม่ ย่อมต้องอาศัยการวินิจฉัยชี้ขาดในคดีนั้น ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าคำพิพากษาตามยอมเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ที่จะได้อยู่อาศัยในห้องเช่านั้นจึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share