คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การได้มาซึ่งที่ดิน แม้จะเป็นเพียงสิทธิครอบครองในฐานะเจ้าของ ก็ต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 ด้วย เมื่อโจทก์ (ซึ่งเป็นคนต่างด้าว) มิได้ยื่นคำขออนุญาตให้ได้มาซึ่งที่พิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 8(พ.ศ.2497)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ข้อ 2 และไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ตามความในมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแม้โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินต่อกัน สัญญาดังกล่าวก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการโอนสิทธิครอบครองให้คนต่างด้าว อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 และ 111 ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 โจทก์จึงอ้างว่ามีสิทธิครอบครองอย่างเจ้าของไม่ได้
โจทก์อ้างความเป็นเจ้าของสิทธิครอบครอง จึงมีอำนาจให้เช่าที่พิพาท ไม่ได้อ้างสิทธิอย่างอื่น จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทแล้วโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และให้จำเลยเช่าที่พิพาทกับเรียกค่าเช่าที่ค้างจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า 50 ไร่โดยซื้อมาจากจำเลยและจำเลยได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองทันทีเมื่อขายแล้วจำเลยได้เช่าที่ดินนี้จากโจทก์ตกลงค่าเช่าเป็นข้าวโพดต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์รวม 3 ปี โจทก์ทวงถามและบอกเลิกการเช่า จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ไร่ของโจทก์ ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างเป็นข้าวโพด 1,050 ถังหรือใช้เป็นเงิน 12,600 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกปีละ 350 ถังหรือใช้เป็นเงิน 4,200 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ของโจทก์

จำเลยให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่มีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยที่พิพาทเป็นที่สงวนของทางราชการ สัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าเป็นสัญญาปลอม

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าว ได้มาซึ่งที่ดินรายพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี และมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการซึ่งกำหนดโดยกฎกระทรวงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงไม่อาจเป็นเจ้าของที่ดินที่จะมีอำนาจฟ้องขับไล่และเอาที่ดินให้จำเลยเช่า ทั้งที่พิพาทเป็นของกรมประชาสงเคราะห์ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์แล้วเช่าจากโจทก์ โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าเพราะจำเลยค้างค่าเช่า เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นละเมิด ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 86 มิได้ห้ามคนต่างด้าวโดยเด็ดขาดมิให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรณีนี้ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่าซึ่งจำเลยมีสิทธิครอบครอง เมื่อขายแล้วเช่าจากโจทก์ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ เรียกค่าเช่าและค่าเสียหาย พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย ใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายตามฟ้อง

จำเลยฎีกา

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นคนเชื้อชาติจีน สัญชาติแต้จิ๋ว จึงเป็นคนต่างด้าว ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์อ้างว่าจำเลยขายให้โจทก์และมอบการครอบครองให้โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและวิธีการซึ่งกำหนดไว้ในกฎกระทรวงและได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 ศาลฎีกาเห็นว่า การได้มาซึ่งที่ดินแม้จะเป็นเพียงสิทธิครอบครองในฐานะเจ้าของดังที่โจทก์อ้างในกรณีนี้ ต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 ด้วยตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 429-438/2506 คดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดเลย โจทก์ นางหว่างตี้ แซ่เตียว กับพวกจำเลย และเมื่อโจทก์มิได้ยื่นคำขออนุญาตให้ได้มาซึ่งที่พิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 2 และไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามความในมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเช่นนี้ แม้จะฟังว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินต่อกันตามสัญญานั้นจริง สัญญาดังกล่าวก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการโอนสิทธิครอบครองให้คนต่างด้าวอันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 86 และ 111 โดยชัดแจ้ง จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 สัญญาซื้อขายนั้นเป็นอันเสียเปล่า โจทก์จะอ้างว่ามีสิทธิครอบครองอย่างเจ้าของไม่ได้เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 344/2511 คดีระหว่างนายลิ่มเอ้งซ้ง แซ่ลิ้ม โจทก์ นายสมนึก เจริญลาภ จำเลย

โจทก์ฟ้องคดีนี้อ้างความเป็นเจ้าของสิทธิครอบครอง จึงมีอำนาจให้จำเลยเช่าที่พิพาท ไม่ได้อ้างสิทธิอย่างอื่น และจำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เมื่อวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และให้จำเลยเช่าที่พิพาทกับเรียกค่าเช่าที่ค้างจากจำเลยได้

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share