คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2959/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระภิกษุ ป. ทำหนังสือยกที่ดินให้โจทก์และ พ. มารดาจำเลยคนละครึ่งโดยมอบอำนาจให้โจทก์ยื่นคำร้องขอออก น.ส.3 รังวัดแบ่งแยกให้แก่โจทก์และจดทะเบียนโอนส่วนที่เหลือให้แก่ พ. ต่อมาได้มีการรังวัดแล้ว แต่ยังไม่ทันแบ่งแยก ป. มรณภาพเสียก่อน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อนำมาประกอบกับข้อความในพินัยกรรมของ ป. ที่ยกเลิกการยกที่พิพาทแก่โจทก์ แสดงว่า ป. ประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาใช่เป็นกรณีเจตนาสละการครอบครองไม่ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลที่ดิน มาตรา 4 ทวิเมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า พระครูประสิทธิ์วิทยาคมยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 3032 หมู่ที่ 3 ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศลจังหวัดศรีสะเกษ โจทก์ขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตาม น.ส.3 ก.ดังกล่าวและทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดกของพระครูประสิทธิ์วิทยาคมทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของพระครูประสิทธิ์วิทยาคมตามพินัยกรรมได้จดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 3032 เป็นของจำเลยแล้ว จำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 3032 โดยได้รับมรดกตามพินัยกรรมของพระครูประสิทธิ์วิทยาคม ไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 7 ไร่เศษเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 3032 ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เดิมมีชื่อพระครูประสิทธิ์วิทยาคมเป็นเจ้าของ ต่อมาหลังจากพระครูประสิทธิ์วิทยาคมมรณภาพแล้วได้มีการจดทะเบียนโอนรับมรดกตามพินัยกรรมมาเป็นของจำเลย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์นำสืบว่าพระครูประสิทธิ์วิทยาคมทำหนังสือยกที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวให้โจทก์และนางบุญมี เสน่นา มารดาจำเลยคนละครึ่ง โดยมอบอำนาจให้โจทก์ยื่นคำร้องขอออก น.ส.3 รังวัดแบ่งแยกให้แก่โจทก์เองและจดทะเบียนโอนส่วนที่เหลือให้แก่นางบุญมี ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ต่อมาได้มีการรังวัดแล้ว แต่ยังไม่ทันแบ่งแยก น.ส.3 ก.ฉบับใหม่ พระครูประสิทธิ์วิทยาคมมรณภาพเสียก่อน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวประกอบกับข้อความในพินัยกรรมของพระครูประสิทธิ์วิทยาคมเอกสารหมาย จ.6 หรือ ล.2 ที่ยกเลิกการยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แสดงว่าพระครูประสิทธิ์วิทยาคมประสงค์จะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาใช่เป็นกรณีเจตนาสละการครอบครองไม่ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 ทวิ กล่าวคือการให้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ฉะนั้นเมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนพระครูประสิทธิ์วิทยาคม มิใช่ยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของโจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เมื่อพระครูประสิทธิ์วิทยาคม ยกเลิกการให้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์และทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแทน จำเลยรับโอนมรดกที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของพระครูประสิทธิ์วิทยาคม โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องที่ดินพิพาทจากจำเลย
พิพากษายืน

Share