คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเคยเป็นสามีภริยากันแต่ก็ได้หย่าขาดกันแล้วผู้ตายไม่มีความชอบธรรมที่พาพวกมารื้อบ้านจำเลยถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุเมื่อจำเลยห้ามปรามกลับถูกผู้ตายด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายทั้งสภาพบ้านของจำเลยที่ถูกผู้ตายกับพวกรื้อเอาไม้กระดานและฝาบ้านออกจากตัวบ้านจนไม่อยู่ในสภาพจะใช้อยู่อาศัยได้การกระทำของผู้ตายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมเหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นโทสะไว้ได้จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันทีการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา72

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันและกระทำโดยบันดาลโทสะ
ระหว่างพิจารณานางไสว แผนประดิษฐ์ มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72, 72 ทวิ วรรคสอง จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน คำให้การในชั้นสอบสวนและข้อนำสืบของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบมาตรา 53 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองจำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน จำคุก 4 เดือน รวม 3 กระทง จำคุก 33 ปี16 เดือน ริบของกลาง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ร่วมเป็นมารดาผู้ตาย จำเลยเคยเป็นสามีผู้ตายโดยอยู่กินร่วมกันที่บ้านเกิดเหตุซึ่งจำเลยปลูกสร้างบ้านบนที่ดินบิดาจำเลย ห่างจากบ้านบิดาจำเลยประมาณ 3 วา มีบุตรด้วยกัน 2 คน วันที่ 17 มกราคม 2537 จำเลยจดทะเบียนหย่ากับผู้ตายหลังจากหย่ากันแล้วจำเลยและบุตรคนโตคงอยู่ที่บ้านเกิดเหตุ ส่วนผู้ตายพาบุตรคนเล็กไปอยู่กับโจทก์ร่วม หลังจากหย่าได้ 9 วัน ผู้ตายก็จดทะเบียนสมรสกับสามีใหม่ ต่อมาวันเกิดเหตุผู้ตายและโจทก์ร่วมได้พาพวกมารื้อบ้านเกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย ล.2 และ ล.3 จำเลยจึงใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไปโดยบันดาลโทสะและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมและนายสายัณห์เป็นพยานเบิกความว่า ตอนเช้าวันเกิดเหตุจำเลยไปบอกผู้ตายให้ไปรื้อเอาบ้านส่วนที่ต่อเติม ต่อมาโจทก์ร่วมและผู้ตายจึงพาพวกไปรื้อบ้านจำเลย จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ร่วมถามค้านว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยไม่ได้ไปตามผู้ตายให้มารื้อบ้าน ยันกันอยู่ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.8 โจทก์ร่วมก็มิได้ให้การถึงข้อนี้ไว้ในชั้นสอบสวน จึงฟังไม่ได้ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไปตามผู้ตายให้มารื้อบ้าน ที่โจทก์ร่วมเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายไม่ได้โต้เถียงกัน แต่ในชั้นสอบสวนโจทก์ร่วมให้การว่าขณะที่พวกของผู้ตายกำลังช่วยกันรื้อเอาฝาบ้านและพื้นกระดานอยู่นั้น จำเลยเข้ามาพูดกับผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยอมและเดินหนีจำเลยเข้าไปฉุดมือผู้ตายและโต้เถียงกัน ที่จำเลยเบิกความว่าหลังจดทะเบียนหย่ากับผู้ตายแล้ว ขณะที่จำเลยไม่อยู่บ้าน ผู้ตายมาขนเอาโทรทัศน์ วิทยุ หม้อหุงข้าว และทรัพย์สินอย่างอื่นไปจากบ้านคงเหลือเฉพาะหมอน เสื่อ ผ้าห่ม นายสายัณห์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า หลังจากผู้ตายหย่ากับจำเลยแล้วไม่กี่วัน พยานได้มาช่วยผู้ตายขนของจำพวกเครื่องเสียง ที่นอนและของอีกหลายรายการออกไปจากบ้านจำเลยเจือสมกับคำเบิกความของจำเลย ข้อนำสืบของจำเลยมีน้ำหนักเชื่อถือได้ เกี่ยวกับบ้านเกิดเหตุ โจทก์ร่วมเบิกความว่าโจทก์ร่วมซื้อไม้ต่อเติมระเบียงบ้านให้จำเลย แม้จะได้ความเช่นนั้นจริงทรัพย์สินที่ให้นั้นก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว ขณะที่ผู้ตายจดทะเบียนหย่ากับจำเลย ปรากฎตามบันทึกทะเบียนหย่าเอกสารหมาย ล.4 ว่า ผู้ตายตกลงกับจำเลยเฉพาะเรื่องการแยกกันปกครองบุตรคนละคน ส่วนทรัพย์สินที่จะแบ่งไม่มีดังนี้หากจำเลยไม่ยอม ผู้ตายไม่มีสิทธิจะรื้อบ้านดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากจำเลยหย่ากับผู้ตายโดยแบ่งแยกการปกครองบุตรคนละคนแล้ว ผู้ตายก็จดทะเบียนสมรสกับสามีใหม่วันเกิดเหตุผู้ตายกับโจทก์ร่วมพาพวกมารื้อเอาไม้กระดานและฝาบ้านจำเลยไป จำเลยพูดขอร้องผู้ตายให้หยุดรื้อบอกว่าจะเก็บรักษาไว้ให้ลูก แต่ผู้ตายไม่ฟังบอกว่าจะรื้อเอาไปปลูกอยู่กับสามีใหม่และด่าจำเลยว่า ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ โคตรพ่อโคตรแม่มึงรวยให้สร้างเอาใหม่ จำเลยระงับอารมณ์โกรธไม่ได้ จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เห็นว่า แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเคยเป็นสามีภริยากัน แต่ก็ได้หย่าขาดกันแล้ว ผู้ตายไม่มีความชอบธรรมที่พาพวกมารื้อบ้านจำเลย ถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ เมื่อจำเลยห้ามปรามกลับถูกผู้ตายด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตามภาพถ่ายหมาย ล.2 และ ล.3 แสดงให้เห็นสภาพบ้านของจำเลยที่ถูกผู้ตายกับพวกรื้อเอาไม้กระดานและฝาบ้านออกจากตัวบ้านจนบ้านดังกล่าวไม่อยู่ในสภาพจะใช้อยู่อาศัยได้ การกระทำของผู้ตายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมเหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันที การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share