แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการในกรมที่ดินจำเลยที่ 1 และเป็นผู้เชี่ยวชาญการทำแผนที่ ได้ทำการรังวัดและคำนวณเนื้อที่ดินในแผนที่พิพาท ในคดีที่โจทก์ฟ้องผู้มีชื่อผิดพลาดด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยว่าที่ดินของโจทก์มีเนื้อที่เกินไปจากที่ระบุไว้ในโฉนด ซึ่งความจริงที่ดินของโจทก์มิได้มีเนื้อที่เกินไปจากโฉนดแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยฟังว่าที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าวอยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์และพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เช่นนี้ จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 897 เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 รับราชการในกรมของจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่รังวัดและทำแผนที่พิพาทตามคำสั่งศาลและคำนวณเนื้อที่ดินตามแผนที่เป็นการปฏิบัติราชการในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 รับราชการในกรมของจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่คำนวณเนื้อที่ดินตามแผนที่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการปฏิบัติราชการในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1
นางสาวผาดและนางสาวเล็กเจ้าของที่ดินข้างเคียงนำชี้เขตรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ซึ่งโจทก์ครอบครองรวม 211.88 ตารางวา คิดเป็นเงิน84,752 บาท โจทก์ฟ้องบุคคลทั้งสองต่อศาลแพ่งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาท 211.88 ตารางวา เป็นของโจทก์ ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7046/2517 ของศาลแพ่ง ในการดำเนินคดีดังกล่าว ศาลแพ่งสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครทำแผนที่พิพาท จำเลยที่ 2 ทำแผนที่ จำเลยที่ 3 เป็นผู้คำนวณ จำเลยทั้งสองแจ้งต่อศาลว่า ที่ดินของโจทก์มีเนื้อที่ 10 ไร่ 4 ตารางวา เกินกว่าที่ดินตามโฉนด 2 งาน 24 ตารางวาเป็นเหตุให้ศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี หลังจากศาลพิพากษาแล้ว สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครมีหนังสือลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2518 แจ้งให้ศาลแพ่งทราบว่าคำนวณผิดพลาด ความจริงที่ดินของโจทก์คำนวณได้เพียง 9 ไร่ 1 งาน 26 ตารางวา การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง คำนวณที่ดินผิดไป 278 ตารางวา เป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้อง และทำให้ที่ดินของโจทก์ขาดหายไปจากโฉนดเดิมถึง 235 ตารางวา คิดราคาตารางวาละ 1,500 บาท เป็นเงิน 352,500 บาท จำเลยที่ 1 ต้องรับผิด ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ร่วมกันรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีหน้าที่ในการคำนวณที่ดิน แต่มีหน้าที่ตรวจการลงเลขหมายแผนที่และตรวจการคำนวณเนื้อที่ที่ช่างแผนที่คำนวณมาแล้วว่าถูกต้องหรือไม่ การที่ที่ดินของโจทก์จะเกินกว่าที่ดินที่มีอยู่ตามโฉนดมากหรือน้อยไม่เป็นเหตุให้ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้อง และไม่ทำให้ที่ดินตามโฉนดของโจทก์ขาดหายไป ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องตารางวาละ 1,500 บาทสูงเกินไป ราคาไม่เกินตารางวาละ 500 บาท โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันทราบเหตุละเมิด คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเรียกนางสาวผาดและนางสาวผุสดีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ระหว่างพิจารณานางสาวผาดถึงแก่กรรมศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายสุชาติเข้ารับมรดกความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องนางสาวผาด นางเล็กจำเลยและนางสาวผุสดีจำเลยร่วมต่อศาลแพ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ 7046/2517ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของโฉนดเลขที่ 897 โดยซื้อจากนายเฉย โจทก์ทั้งสองยื่นคำขอทำการรังวัด นางสาวผาด นางเล็ก จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงชี้เขตที่ดินรุกล้ำเข้าไปในแนวเขตของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ นางสาวผาด นางเล็ก จำเลยทั้งสองให้การความว่า โจทก์ขอรังวัดและนำชี้แนวเขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของจำเลยเป็นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่
วันชี้สองสถานคู่ความรับกันว่าที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 897 มีเนื้อที่ 9 ไร่1 งาน 80 วา และที่ดินของจำเลยโฉนดที่ 896 ซึ่งอยู่ติดกันมีเนื้อที่ 9 ไร่ ตามแผนที่กลางที่ศาลสั่งทำ ที่พิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 211 ตารางวา ประเด็นสำคัญในคดีนั้นมีว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด ศาลมีคำสั่งให้สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร กรมที่ดินทำแผนที่พิพาท จำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 2 ทำแผนที่พิพาทส่งศาลตามเอกสารหมาย จ.4
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นสำคัญแห่งคดีดังกล่าว โดยอาศัยแผนที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.4 ความว่า ที่โจทก์ว่าที่พิพาทที่รุกล้ำกันนี้อยู่ในโฉนดของโจทก์ แต่จากการรังวัดที่พิพาทที่ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำตามเอกสารหมาย จ.4 ปรากฏผลของการรังวัดจากนายสิทธิศักดิ์ (จำเลยที่ 2 ในคดีนี้) ช่างรังวัดของกรมที่ดินซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญแผนที่และโฉนดที่ดินว่าเนื้อที่ในโฉนดของโจทก์มี 9 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา แต่วัดใหม่ในคราวพิพาทได้ 10 ไร่ 4 ตารางวา สำหรับฝ่ายจำเลยเนื้อที่ตามโฉนดมี 9 ไร่แต่วัดในคราวพิพาทได้ 8 ไร่ 1 งาน 95 ตารางวา จึงเห็นได้ชัดว่าเนื้อที่ดินในส่วนที่พิพาทกันนี้หาได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ไม่ เพราะเมื่อวัดตามที่โจทก์นำชี้แล้วได้เนื้อที่ถึง 10 ไร่ 4 ตารางวา ซึ่งเกินไปจากเนื้อที่ในโฉนดของโจทก์ถึง 2 งาน 24 ตารางวา ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าเนื้อที่ในส่วนที่เกินตามที่โจทก์นำชี้เขตในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.4 อยู่ในโฉนดของโจทก์ส่วนของจำเลยนั้น ปรากฏจากการรังวัดว่าวัดได้ในคราวพิพาทนี้ 8 ไร่ 1 งาน 95 ตารางวา เนื้อที่ตามโฉนดเดิมของจำเลยมี 9 ไร่ ดังนั้น เนื้อที่ของจำเลยในโฉนดจึงขาดหายไป 2 งาน 5 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนที่ใกล้เคียงกับส่วนที่เกินจากโจทก์ ดังนั้น จึงน่าเชื่อว่าเนื้อที่ในส่วนที่เกินจากโจทก์ดังกล่าวแล้ว เป็นที่อยู่ในโฉนดของฝ่ายจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า เอกสารหมาย จ.4 ที่ศาลชั้นต้นใช้ประกอบคำวินิจฉัยให้โจทก์แพ้คดีนั้น ต่อมากรมที่ดินจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งต่อศาลแพ่งว่าตามเอกสารหมาย จ.4 คำนวณที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่รังวัดทำแผนที่พิพาทผิดพลาดไป 278 ตารางวา ความจริงที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีเพียง9 ไร่ 1 งาน 26 ตารางวาเท่านั้น แสดงว่าจำเลยที่ 2 ผู้ทำการรังวัดและคำนวณแผนที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.4 ทำการโดยประมาทเลินเล่อ เพราะจำเลยที่ 2เป็นผู้เชี่ยวชาญการทำแผนที่ มิได้ใช้ความรู้ความระมัดระวังตามควร เป็นเหตุให้ศาลฟังว่าที่พิพาทมิได้อยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยรับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 2 คำนวณผิดพลาดไปว่าที่ดินของโจทก์มีเนื้อที่เกินไปถึง 2 งาน 24 วา ความจริงที่ดินของโจทก์มิได้เกินไปแต่อย่างใดจำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการในกรมที่ดินของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน