คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ต่อสู้กับผู้ตาย จำเลยที่ 1 ชักอาวุธมีดออกมาเข้าไปช่วยจำเลยที่ 2 แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย แต่จำเลยที่ 1 ก็อยู่กับจำเลยที่ 2 โดยตลอด อีกทั้งเข้าร่วมต่อสู้ด้วยและหลบหนีไปด้วยกัน เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการที่จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธมีดแทงร่างกายบริเวณที่สำคัญ ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นด้วย
ตามพฤติการณ์แห่งคดีการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย มีสาเหตุจากการทะเลาะวิวาทกันและผู้ตายก็มีอาวุธมีดต่อสู้ด้วย โทษจำคุกที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นหนักเกินไป สมควรลดลงให้เหมาะสมแก่รูปคดี แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจที่จะพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 91, 83, 80

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การว่าฆ่าผู้ตายโดยเหตุบันดาลโทสะ ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณานายเล็ง เทียมราช และนางสิ้น เทียมราช บิดาและมารดาของนายสมรักษ์ เทียมราช ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่น

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 ประกอบด้วยมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะ ปรับคนละ 100 บาท กับให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานพยายามฆ่าจำคุก 10 ปี เฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำเลยที่ 2 รับว่าแทงผู้ตายหลังสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นจำคุก 33 ปี 4 เดือน รวมลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 43 ปี 4 เดือน และปรับ 100 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม ประกอบมาตรา 53 เฉพาะฐานฆ่าผู้อื่น จำเลยที่ 1 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้ตายกับพวกไปดื่มสุราที่ร้านอาหารบุญจิราซึ่งมีนางสาวบุญจิราคู่หมั้นของผู้ตายเป็นเจ้าของร้าน โดยมีจำเลยที่ 2 กับพวกนั่งรับประทานอาหารและดื่มสุราที่ร้านดังกล่าวเช่นเดียวกันอยู่แล้ว จนถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ผู้เสียหายไปร่วมดื่มสุรากับผู้ตาย จากนั้นเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ของวันที่ 20 เมษายน 2540 พวกของผู้ตายกับพวกของจำเลยที่ 2 เกิดทะเลาะวิวาทต่อสู้กัน จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายที่บริเวณเหนือสะดือทะลุช่องท้อง ลำไส้ทะลัก ใต้ชายโครงซ้าย ทะลุช่วงท้อง และบริเวณหน้าอกด้านซ้ายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย ตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นด้วยหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายไปที่ร้านอาหารบุญจิราเข้าไปนั่งที่โต๊ะของผู้ตายกับพวกส่วนจำเลยทั้งสองกับพวกนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ผู้ตายลุกเข้าห้องน้ำแล้วออกมาบอกผู้เสียหายว่าถูกแทง ผู้เสียหายลุกขึ้นจะช่วยพยุงผู้ตาย ได้ยินเสียงดังมาจากโต๊ะของจำเลยที่ 1 เมื่อหันไปมองจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายบริเวณหน้าท้องด้านขวา แล้วจำเลยที่ 2 กับพวกอีกคนหนึ่งวิ่งออกไปทางหน้าร้าน ผู้ตายวิ่งตามออกไป นางสาวบุญจิรา แก้วขาวเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับพวกไปนั่งดื่มสุราที่ร้านของตน จำเลยทั้งสองกับพวกนั่งดื่มสุรากันอยู่แล้วผู้ตายเข้าห้องน้ำ จำเลยที่ 2 หยิบขวดน้ำปลาซ่อนในเสื้อเดินตามไปเมื่อผู้ตายกลับมาที่โต๊ะจำเลยที่ 2 พูดกับผู้ตาย แล้วใช้ขวดน้ำปลาตีศีรษะผู้ตาย จำเลยที่ 1 จึงลุกขึ้นชักอาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 3 นิ้ว จะเข้าไปแทงผู้ตาย พยานจึงคว้าข้อมือจำเลยที่ 1 และร้องห้าม แต่จำเลยที่ 1 สะบัดมือและเข้าไปช่วยจำเลยที่ 2 จึงเกิดชุลมุนต่อสู้กัน จำเลยทั้งสองวิ่งออกไปทางหน้าร้าน ผู้ตายถืออาวุธมีดวิ่งตามไปแล้วล้มลงจำเลยที่ 2 ย้อนกลับมาหาผู้ตาย ใช้อาวุธมีดของผู้ตายแทงผู้ตายที่ท้อง แล้วจำเลยทั้งสองหลบหนีไป และนายธีระพงษ์ แดงสะอาดเบิกความว่า เมื่อเกิดเหตุชุลมุนต่อสู้กัน จำเลยที่ 1 เข้าร่วมต่อสู้กับพวกผู้ตายด้วย ผู้ตายชักอาวุธมีดที่ซ่อนไว้ออกมา จำเลยทั้งสองวิ่งหลบหนี ผู้ตายวิ่งไล่ จำเลยที่ 2 ย้อนกลับมาใช้อาวุธมีดของผู้ตาย แทงผู้ตายที่บริเวณหน้าท้อง แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกหลบหนีไป เห็นว่า ตามคำเบิกความของพยานทั้งสามของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ความว่า ภายในร้านอาหารที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟนีออน 2 หลอด และจากเครื่องรับโทรทัศน์มองเห็นได้ชัดในระยะ 4 เมตรและที่หน้าร้านก็มีแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนอีก 1 หลอด พยานทั้งสามเห็นจำเลยที่ 1กับพวกมานั่งอยู่ในร้านอาหารก่อนเกิดเหตุเป็นเวลานานย่อมมีโอกาสที่จะจดจำจำเลยที่ 1 ได้ และพยานทั้งสามไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงเชื่อว่าพยานทั้งสามของโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความตามความจริง จำเลยที่ 1 นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ต่อสู้กับผู้ตาย จำเลยที่ 1 ชักอาวุธมีดออกมาเข้าไปช่วยจำเลยที่ 2 แม้นางสาวบุญจิราเข้าห้ามจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 สะบัดมือเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยเมื่อผู้ตายชักมีดออกมา จำเลยที่ 1 ก็วิ่งออกจากร้านไปกับจำเลยที่ 2 ครั้นเมื่อ ผู้ตายวิ่งตามไปแล้วล้มลง จำเลยที่ 2 ย้อนกลับมาใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็ยังคงอยู่ในที่นั้นด้วย จากนั้นก็หลบหนีไปกับจำเลยที่ 2 แสดงว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะร่วมใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้ตายมาแต่แรก แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย แต่จำเลยที่ 1 ก็อยู่กับจำเลยที่ 2 โดยตลอดอีกทั้งเข้าร่วมต่อสู้ด้วยและหลบหนีไปด้วยกัน เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการที่จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธมีดแทงร่างกายบริเวณที่สำคัญ ย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นด้วย ที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า ไม่มีพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเห็นและยืนยันว่าจำเลยที่ 1 แทงผู้ตายและไม่มีพยานโจทก์และโจทก์ร่วมคนใดชี้ตัวจำเลยที่ 1 ว่าใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้วยนั้น ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย มีสาเหตุจากการทะเลาะวิวาทกันและผู้ตายก็มีอาวุธมีดต่อสู้ด้วยโทษจำคุกที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นหนักเกินไป สมควรลดลงให้เหมาะสมแก่รูปคดีแม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจที่จะพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 15 ปี ลดโทษให้จำเลยทั้งสองในความผิดฐานดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลงหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 10 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี และปรับ 100 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 20 ปีและปรับ100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share