แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าจำเลยเช่าห้องรายพิพาทเพื่ออยู่อาศัย มิใช่เช่าเพื่อทำการค้า สัญญาเช่าที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยไม่เคยผิดสัญญาเช่า ทั้งโจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญา ดังนี้ ไม่พอที่จะให้รับฟังได้ว่าจำเลยได้ขอรับสิทธิพิเศษ ตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ เพื่อที่ตนจะได้รับความคุ้มครองให้อยู่ตอ่ไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยเช่าห้องแถวที่ถนนรองเมือง  อำเภอปทุมวัน  จากโจทก์เพื่อทำการค้า  มีกำหนด ๑ ปี  ครั้นสิ้นอายุสัญญา  จำเลยยังครอบครองห้องเช่าอยู่และยอมให้ค่าเช่าจนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๐๓ แล้วไม่ชำระ  โจทก์เตือนแล้วจำเลยก็เพิกเฉย  โจทก์บอกกล่าวเลิกการเช่าแล้ว  จำเลยกับบริวารไม่ยอมออกไป  ขอให้ขับไล่และให้ชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า  โจทก์และผู้แทนไม่ยอมรับค่าเช่า  จำเลยยินดีชำระค่าเช่าที่ค้างจำเลยค่าเช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัย  มิได้เช่าเพื่อทำการค้า  สัญญาเช่าที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง  จำเลยยังไม่เคยผิดสัญญา  โจทก็ไม่เคยบอกเลิกสัญญา ฯลฯ
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความ  โจทก์รับว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยจริง  ศาลสั่งงดสืบพยาน  แล้ววินิจฉัยว่า  โจทก์รับว่าจำเลยเช่าห้องเป็นที่อยู่อาศัย   แต่ฟ้องมิได้บรรยายว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า ๒ ครั้งติด ๆ กัน  โจทก์จะขับไล่จำเลยมิได้  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  จำเลยไม่ได้ยกขึ้นอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุม  ค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ จำเลยก็ไม่มีทางที่จะได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติดังกล่าว  คดีตกเป็นกรณีการเช่าสามัญในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ลักษณะเช่าทรัพย์  ถ้าหากการเช่าตกเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาดังฟ้อง  โจทก์ก็มีสิทธิบอกกล่าวล่วงหน้าเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยได้ผิดสัญญาหรือไม่ แต่คดียังมีข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบเรื่องบอกเลิกสัญญาและค่าเช่าค้างเท่าใดอยู่อีก  พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น  ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามคำให้การของจำเลยไม่ได้กล่าวถึงการได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ  แต่ตามคำร้องเพิ่มเติมคำให้การมีข้อความเกี่ยวกับปัญหาอยู่ว่า “ห้องเช่า  เลขที่ ๑๓๕  จำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัย  มิใช่เช่าเพื่อทำการค้า  สัญญาเช่าที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง  จำเลยยังไม่ผิดสัญญาเช่าแต่อย่างใด  ทั้งโจทก์ก็ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยทราบด้วย”  เห็นว่าข้อความดังกล่าวไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยได้ขอรับสิทธิพิเศษตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ เพื่อที่คนจะได้รับความคุ้มครองให้อยู่ต่อไป  อันเป็นเรื่องของผู้ที่จะขอรับสิทธิพิเศษเพื่อให้ตนได้รับความยกเว้นจากกฎหมายธรรมดา  คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ลักษณะเช่าทรัพย์  จะพึงขอมา  จำเลยจึงไม่มีข้อต่อสู้ตัดสิทธิมูลฐานของโจทก์ผู้ให้เช่าในกรณีนี้ได้  จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้น  (อ้างฎีกาที่ ๑๒๗๖/๒๔๙๙  และฎีกาที่  ๑๐๔๑-๑๐๔๔/๒๕๐๔)
เมื่อจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ  เสียแล้ว   ข้อที่ว่าโจทก์จะได้บรรยายฟ้องวาจำเลยผิดนัด ๒ ครั้งติด ๆ กันหรือไม่  ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายืน

