แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ครอบครองที่ดินมือเปล่าโดยมิชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน ต่อมาทางการจัดสรรที่ดินนั้นให้จำเลย แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จัดให้จำเลยเข้าครอบครอง จำเลยจึงยังไม่ได้สิทธิครอบครอง โจทก์ครอบครองอยู่ก่อนจึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงไว้ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเองได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2511)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๑๐ ปีมานี้ โจทก์ได้เข้าบุกเบิกที่ดินรกร้างว่างเปล่าแล้วครอบครองมา บัดนี้จำเลยได้แย่งการครอบครองที่นี้จากโจทก์ ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ได้มาโดยทางการจัดสรรให้เข้าทำกินเมื่อ ๖ ปีมาแล้ว จำเลยได้ครอบครองตลอดมา โจทก์เพิ่งเข้าแย่งทำปีนี้
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ได้สละการครอบครองที่พิพาทแล้ว จำเลยได้รับที่นี้โดยทางการจัดสรรให้ โจทก์จะอ้างสิทธิครอบครองต่อสู้ไม่ได้ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริง วินิจฉัยแต่ข้อกฎหมาย แล้วพิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงไว้ ศาลฎีกาชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงเองได้ แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนที่ทางการจะจัดสรร และเป็นคดีระหว่างราษฎรด้วยกัน แล้ววินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า แม้จำเลยจะได้รับที่พิพาทโดยการจัดสรร แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จัดให้จำเลยเข้าครอบครอง จำเลยจึงยังไม่ได้สิทธิครอบครอง โจทก์ครอบครองอยู่ก่อนย่อมมีสิทธิดีกว่า
พิพากษากลับ