คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2949-2951/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยนำพื้นที่อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ ของโจทก์บริเวณชั้น1บางส่วนไปให้ม. ส. และป. เช่าโดยไม่มีอำนาจต่อมาโจทก์ทราบเรื่องจึงให้ผู้เช่าทั้งสามรายทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นเหตุให้ผู้เช่าทั้งสามรายไม่อาจหยั่งรู้ถึงสิทธิของเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิให้เช่าที่แท้จริงจึงไม่นำเงินค่าเช่ามาชำระแก่โจทก์แต่นำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีภายใต้เงื่อนไขว่าเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดโจทก์ติดต่อขอรับเงินแล้วแต่ไม่สามารถรับเงินได้การที่โจทก์ไม่ได้รับเงินค่าเช่านี้เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการที่จำเลยไม่มีสิทธิให้เช่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์นั้นเห็นได้ว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่ผู้เช่าทั้งสามรายวางไว้นั้นเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งสามรายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่าแต่กลับนำเงินค่าเช่าไปวางณสำนักงานวางทรัพย์กลางโดยวางเงื่อนไขว่าจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งสามรายไม่ใช่การกระทำของจำเลยการที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้ก็เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งสามรายกำหนดไว้มิใช่เพราะว่าจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินของโจทก์แต่อย่างใดทั้งจำเลยได้ทำสัญญากับผู้เช่าทั้งสามรายมาก่อนการวางทรัพย์จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์นำเอาพื้นที่อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ของโจทก์บริเวณชั้นที่ 1 ของอาคารในพื้นที่ตำแหน่งไลน์ที่ 23ถึง 24 จีเอช เนื้อที่ 8.40 ตารางเมตร ห้องเลขที่ 27 เนื้อที่9.60 ตารางเมตร และห้องเลขที่ 85 เนื้อที่ 6.03 ตารางเมตรไปให้นายมณเฑียร พงศะบุตร นางสาวสายศร ปุรารัตน์ และนายปิยะวัฒน์ ภูมิคง เช่ามีกำหนด 1 ปี ต่อมาโจทก์ทราบเรื่องโจทก์จึงแจ้งให้บุคคลทั้งสามทราบว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และเป็นผู้ทรงสิทธิเหนือสถานที่เช่าที่แท้จริง บุคคลทั้งสามจึงได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ การที่บุคคลทั้งสามทำสัญญาเช่ากับโจทก์และจำเลยด้วย ทำให้ผู้เช่าไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิของเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิให้เช่าที่แท้จริง จึงไม่นำเงินค่าเช่ามาชำระให้แก่โจทก์ แต่นำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี ภายใต้เงื่อนไขว่าเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ติดต่อขอรับเงินตามสิทธิของโจทก์แล้วแต่ไม่สามารถรับได้การที่โจทก์ไม่ได้รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากจำเลยไม่มีสิทธิให้เช่า ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิให้เช่าสถานที่เช่ามาบุญครองเซ็นเตอร์ ของโจทก์ชั้นที่ 1 ตำแหน่งไลน์ที่ 23ถึง 24 จีเอช ห้องที่ 27 และ 85 ตามแผนผังเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ทั้งสามสำนวน และแสดงว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าหรือเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงของนายมณเฑียร นางสาวสายศรและนายปิยะวัฒน์ผู้เช่าตามสัญญาเช่าลงวันที่ 5, 15, และ 31(ที่ถูกวันที่ 5, 10 และ 15 ) มีนาคม 2534 ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิรับเงินที่นายมณเฑียร นางสาวสายศรและนายปิยะวัฒน์วางไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี และที่จะวางทรัพย์ต่อไปเป็นรายเดือนทุกเดือนตามสิทธิของโจทก์เดือนละ 16,800บาท 19,200, บาท และ 12,060 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2534ตลอดไปขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับนายมณเฑียรนางสาวสายศรและนายปิยะวัฒน์และห้ามไม่ให้จำเลยสอดเข้าเกี่ยวข้องหรือทำนิติกรรมสัญญาใด ๆ ผูกพันพื้นที่อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์เลขที่ 444 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินค่าเช่าและค่าบริการจำนวน16,800 บาท, 19,200 บาท และ 12,060 บาท ต่อเดือน นับตั้งแต่วันที่นายมณเฑียร นางสาวสายศรและนายปิยะวัฒน์นำไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี เป็นรายเดือนทุกเดือนตลอดไปจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงและมีสิทธิรับเงินจากสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะบุคคลที่มีชื่อเป็นกรรมการ ทั้งสามสำนวนไม่ใช่กรรมการของโจทก์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองพื้นที่เช่าดังกล่าวจึงไม่สามารถนำไปให้ผู้ใดเช่าได้ แต่จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองพื้นที่เช่าดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายมีสิทธินำพื้นที่ดังกล่าวออกให้เช่าได้จำเลยมิได้กระทำการใด ๆโดยผิดกฎหมายต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและบังคับจำเลยตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิให้เช่าสถานที่เช่าอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ของโจทก์ชั้นหนึ่งตำแหน่งไลน์ที่ 23 ถึง 24 จีเอช ห้องที่ 27 และ 85 ตามแผนผังเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 โจทก์เป็นผู้ให้เช่าหรือเจ้าหนี้ที่แท้จริงของนายมณเฑียร พงศะบุตร นางสาวสายศร ปุรารัตน์และนายปิยะวัฒน์ ภูมิคง ตามสัญญาเช่าลงวันที่ 5, 31 (ที่ถูก 10)และ 15 มีนาคม 2534 ตามลำดับ ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิรับเงินที่นายมณเฑียร นางสาวสายศร และนายปิยวัฒน์วางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี และที่จะวางต่อไปเป็นรายเดือนตามที่เช่าจากโจทก์เดือนละ 16,800 บาท 19,200 บาทและ 12,060 บาท ตามลำดับ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2534 ตลอดไปจำเลยไม่มีสิทธิให้บุคคลใดเช่าสถานที่เช่าตามฟ้อง ให้เพิกถอนสัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 31 มีนาคม 2534 และ 30 เมษายน 2534ระหว่างจำเลยกับนายมณเฑียร นางสาวสายศรและนายปิยะวัฒน์คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลย ทั้ง สาม สำนวน อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สาม สำนวน ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ได้นำพื้นที่อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ของโจทก์บริเวณชั้นที่ 1 บางส่วนไปให้นายมณเฑียร พงศะบุตรนางสาวสายศร ปุรารัตน์ และนายปิยวัฒน์ ภูมิคง เช่าโดยไม่มีอำนาจ ต่อมาโจทก์ทราบเรื่องจึงได้ให้ผู้เช่าทั้งสามรายทำสัญญาเช่ากับโจทก์ เป็นเหตุให้ผู้เช่าทั้งสามรายไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิของเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิให้เช่าที่แท้จริง จึงไม่นำเงินค่าเช่ามาชำระให้แก่โจทก์ แต่นำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี ภายใต้เงื่อนไขว่าเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ติดต่อขอรับเงินแล้วแต่ไม่สามารถรับเงินได้ การที่โจทก์ไม่ได้รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการที่จำเลยไม่มีสิทธิให้เช่าแต่จำเลยกลับนำไปให้ผู้เช่าทั้งสามรายเช่าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากค่าเช่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดังกล่าวที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่ผู้เช่าทั้งสามรายวางไว้ได้ เกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งสามรายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งสามรายไม่ใช่การการกระทำของจำเลย การที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้ก็เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งสามรายกำหนดไว้ มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินของโจทก์แต่อย่างใด ทั้งจำเลยได้ทำสัญญากับผู้เช่าทั้งสามรายมาก่อนการวางทรัพย์ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วปัญหาตามฎีกาของจำเลยจึงไม่จำต้องวินิจฉัยเนื่องจากไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์

Share